12/30/2555

จะเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างไร


การเลือกซื้อเครื่องสำอาง


เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องสำอาง
ตามที่องค์การอาหารยาให้คำแนะนำไว้มีดังนี้

  1. อย่าซื้อตามคนอื่น หรือเพราะคำแนะนำ ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับผิวตนเอง หากได้ทดสอบก่อนใช้ก็ดี ซึ่งอาจเป็นสินค้าตัวอย่าง ให้ทดลองทาที่ท้องแขนหรือหลังใบหู เช้า-เย็น โดยไม่ต้องเช็ดออก ประมาณ 5-7 วัน ถ้าไม่มีอาการแดง คัน หรือผื่นแพ้ ก็สามารถลองใช้กับใบหน้าได้

  2. ให้ความใส่ใจกับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางที่ไม่ทราบแห่งผลิตที่ชัดเจน เพราะอาจได้เครื่องสำอางปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน

  3. การซื้อแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องซื้อขนาดใหญ่หรือปริมาณมาก เนื่องจากบางครั้งอาจเป็นการฝากซื้อจากต่างประเทศซึ่งราคาถูกกว่าการซื้อที่เมืองไทย การซื้อปริมาณมากๆ อาจทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพถ้าเก็บดูแลไม่ดีพอ หรือถ้าเครื่องสำอางมีขนาดใหญ่มากเมื่อเปิดใช้นานไป อาจมีเชื้อโรคปนระหว่างการใช้

  4. ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางเก่า มีสี กลิ่น หรือ ความข้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

  5. ให้สังเกต ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอางต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด หรือ แตก เพราะอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนได้

  6. ป้ายฉลากเครื่องสำอาง ควรอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ฉีกขาด มีข้อความและรายละเอียดชัดเจน เช่น ชื่อ ชนิดเครื่องสำอาง ชื่อที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และวันที่หมดอายุ ปริมาณสุทธิ วิธีใช้ และคำเตือนในการใช้

  7. ถ้าสงสัยว่าเครื่องสำอางที่สนใจนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซต์ ขององค์การอาหารและยา www.oryor.com หรือ เวปไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนัง www.dst.or.th

Credit:
หนังสือที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย ผศ. พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/14/2555

แพ้เครื่องสำอางหรือไม่ รู้ได้อย่างไร


ในยุคที่ความสวยยอมกันไม่ได้ คงแทบไม่มีใครเลยที่ไม่เคยใช้เครื่องสำอาง แต่ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า เครื่องสำอาง ก็คือ วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา,ถู,นวด,พ่น,หยอด,ใส่,อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งต่อร่างกายเพื่อความสะอาด, ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม เพราะงั้น ไม่ว่าจะไนท์ครีม, บอดี้โลชั่น, ลิปบาล์ม ก็รวมเป็นเครื่องสำอางทั้งนั้น ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือสวยขึ้น หล่อขึ้น และ ดูดีขึ้น


เมื่อเครื่องสำอางอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจำหน่ายมีมากมายเยอะแยะ ซึ่งก่อนใช้นั้นน่ะเราจะจินตนาการไว้เริ่ดหรู ตามคำพีอาร์ของแต่ละแบรนด์

มีหลายคนก็บอกว่าก่อนซื้อให้ทดลองทาผิวที่ท้องแขนทิ้งไว้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางจะยังไม่เกิดทันทีที่เริ่มใช้ แต่มักจะค่อยๆ เป็น จนไม่ทันสังเกตว่าจะแพ้ เพราะกว่าจะเป็นเครื่องสำอางแล้วมาขายมีขั้นตอนทดสอบหรือทดลองใช้กันมาบ้างแล้ว

อาการที่สงสัยได้เลยว่าอาจแพ้เครื่องสำอางเข้าแล้ว

natural-looking makeup
  • อาการปวดแสบ ปวดร้อน มีอาการคันหรือรู้สึกว่าคันยิบๆ
  • มีผื่นแดงคัน ถ้าหากแพ้มาก อาจเป็นตุ่มแดง, ตุ่มน้ำ, ผิวเป็นขุย
  • มีผื่นแดงบวม แบบลมพิษ
  • มีผื่นดำ ผิวหมองคล้ำ
  • หน้าเริ่มเป็นรอยด่าง
  • มีเม็ดผดเล็กๆ ไม่คัน ลักษณะคล้ายสิวเม็ดเล็ก
เมื่อไรก็ตามที่คุณมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที หากมีอาการดีขึ้น ก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ประเภทของเครื่องสำอางที่มักทำให้เกิดผลข้างเคียง

  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงข้างเคียงสูง
    1. น้ำยายืดผม
    2. ครีมที่ทำให้ผิวขาว
    3. ครีมรักษาฝ้า
    4. น้ำยาหรือครีมขจัดขน
  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง
    1. น้ำยาดัดผม, น้ำยาย้อมผม, ครีมบำรุงผม
    2. มาสก์หน้า, ครีมแก้สิว
    3. ลิปสติก, ครีมรองพื้น, ครีมกันแดด
    4. ยาระงับกลิ่นเหงื่อ หรือยาลดเหงื่อ
    5. น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
ส่วนหนึ่งก็คือเครื่องสำอางเหล่านี้ มีสารที่เป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เช่น  ใส่สารเคมีกันบูดเช่น พาราเบน, ฟอร์มัลดีไฮต์, สารพาราเฟนนีลีนไดเอมีน ที่ใส่ในยาย้อมผม, สารลาโนลินหรือไขแกะที่เป็นตัวทำเนื้อครีมหรือโลชั่น, ใส่น้ำหอมเพื่อให้เครื่องสำอางมีกลิ่นหอมน่าใช้ และช่วยกลบกลิ่นสารกันบูดที่ใส่ในเครื่องสำอาง



credit:
ที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/04/2555

สารอาหารรักษาสิว


สิวเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่อมไขมัน โดยจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง หากอักเสบเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นหัวหนอง และสิวหัวช้างในที่สุด เรื่องสิวไม่ใช่เรื่องจิ๋วจิ๋ว


การอักเสบของสิวจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง เช่น ช่วงมีประจำเดือน, การอดนอน, ภาวะเครียด

ดังนั้นการป้องกันการเกิดสิวที่ดีที่สุดคือเราต้องปรับสภาพร่างกายให้สมดุล
ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
รับประทานผักผลไม้ให้มาก
อาหารที่ดีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย,
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว, ระวังไม่ให้เกิดการท้องผูก,
ออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค, ลดความเครียดด้วยการเล่นดนตรี, ฟังเพลง หรือ ฝึกสมาธิเพื่อฝึกควบคุมจิตใจ, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี, ดื่่มสุรา หรือสารเสพติด

สารอาหารรักษาสิว

  1. อาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสี ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส, ลดการอักเสบ และการติดเชื้อของสิว ทั้งยังช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น โดยการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไป

    จริงอยู่ว่าสังกะสีให้ผลบวกในการลดสิว แต่หากร่างกายรับสังกะสีในปริมาณที่มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อวัน(ในผู้ใหญ่) ก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้เช่นกัน อาหารที่มีธาตุสังกะสี คือ หอยนางรม, ปู, นม, โยเกิร์ต, ถั่ว, ชีส, ปลา, เมล็ดฟักทองและเมล็ดทานตะวัน

  2. Milk and Cheese
  3. แร่ธาตุอย่าง วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี และ สารเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ แร่ธาตุในผักผลไม้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการเป็นสิวได้เป็นอย่างดี และคลอโรฟิลล์ในผักสีเขียวก็ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกากใยอาหารจากพืชผักสีเขียว(Dietrary Fiber)ก็ช่วยป้องกันเรื่องท้องผูกได้อีกต่างหาก

    • วิตามินเอลดการอักเสบของสิวและลบรอยด่างดำจากสิว วิตามินเอมีมากใน ตำลึง, บร็อคโคลี, ยอดชะอม, คะน้า กะหล่ำเขียว, ผักโขม, ผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม เช่น ฟักทอง, มะม่วง, แคนตาลูป, มะละกอสุก และใน ตับ และนม

    • Fruits
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจึงช่วยลดริ้วรอย และลดรอยด่างดำจากสิว วิตามินซีมีมากในผลไม้ เช่น ส้ม, มะเขือป้อม, สัปปะรด, ฝรั่ง, สตอร์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, กีวี, มะละกอ, มะม่วง, องุ่น, ลูกพลัมลูกพรุน หรือ ผักใบเขียว เช่น คะน้า, พริกแดง, พริกเขียว, ผักตระกูลกะหล่ำ, บร็อคโคลี, มะเขือเทศ, ผักโขมฯลฯ

    • วิตามินอีมีคุณสมบัติในการลบริ้วรอยจากสิว เราได้วิตามินอีจากน้ำมันที่ได้จากธัญพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย และถั่วเปลือกแข็ง อย่าง อัลมอนต์ หรือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์


  4. แร่ธาตุโครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน เพื่อช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ ร่างกายต้องการโครเมียมในปริมาณที่น้อยมากคือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องหาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

    โครเมียมจะถูกดูดซึมได้ดีเมื่อทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซี แต่ปริมาณที่สูงเกินไปของโครเมียมอาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc)เช่นกัน พบได้ใน ยีสต์ (Brewer’s yeast) เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล

  5. Bread and Egg
  6. ซีลีเนียมสามารถป้องกันกัมมันตภาพรังสีรวมทั้งโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น ปรอท เงิน แคดเมียม แทลเลียม (thallium) ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายและขับถ่ายออกได้เร็วขึ้น และเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ยังช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อต่างๆและชลอการเสื่อมของเซลล์ หรือคุณสมบัติที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการเกิดสิว

    อาหารที่มีซีลิเนียมมากที่สุดได้แก่ ไข่, เครื่องในสัตว์และเนื้อสัตว์, ปลา,หอย และข้าวที่ไม่ขัดสี, ซีเรียล และผลิตภัณฑ์นม นอกจากนี้ยังได้จากระเทียม เห็ด บร็อคโคลี หัวหอม มะเขือเทศ

  7. กรดไขมันโอเมก้า 3กรดไขมันที่ช่วยเรื่องหัวใจและการทำงานของสมอง, ลดการอักเสบในระดับเซลล์ และช่วยในการผลัดเซลล์ผิว จึงช่วยลดรอยด่างดำจากสิวให้จางลง มีมากในอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอล, ปลาทูน่า, นอกจากนี้ก็มีในน้ำมันวอลนัท,น้ำมันคาโนลา

    แต่เพราะ Omega3 จะสลายตัวได้ง่ายในอุณหภูมิสูง เช่น การน้ำอาหารไปทอด ถ้าหากต้องการให้สารอาหารยังคงอยู่ในอาหาร ควรปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม แกงหรือ ยำ
Continue reading...

11/28/2555

ผลข้างเคียงของน้ำมันปลา (Fish Oil)


ที่มาของคุณประโยชน์ในน้ำมันปลา

น้ำมันปลาไม่ใช่น้ำมันตับปลา เป็นน้ำมันที่ได้มาจากเนื้อและหนังของปลา ในน้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรดสำคัญที่มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและให้ประโยชน์อื่นแก่ร่างกายคนเราคือ
Fishing boat
  • EPA (Eicosapentaenoic acid)
  • DHA (docosahexaenoic acid)
อันที่จริงแล้วปลาและสัตว์ทะเลต่างๆ มีกรดไขมันโอเมก้า3 จากการบริโภคสาหร่ายขนาดเล็ก, แพลงตอนที่สร้างกรดไขมัน omega-3 รวมถึงปลาเหยื่อที่สะสมกรดไขมันโอเมก้า 3 นอกจากนี้ในแพลงตอนและสาหร่ายขนาดเล็กต่างๆ ยังมี ไอโอดีน และ ซีลีเนียม ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

กรดไขมันโอเมก้า3 ที่นำมาทำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนใหญ่มาจากปลาทะเลขนาดใหญ่ เช่น ปลาฉลาม, ปลาทูน่า, ปลาแซลมอน แต่เพราะปลาขนาดใหญ่เหล่านี้อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารทางทะเล จึงมีความเป็นไปได้ที่จะสะสมและปนเปื้อนสารที่เป็นพิษ

เนื่องจากน่านน้ำทะเลหลายแห่งมีสารพิษตกค้างอยู่ในปริมาณสูง และปลาที่จับได้ก็อาจมีการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆ เช่น Dioxin, Methyl mercury และ polychlorinated biphenyl

ว่ากันว่าการบริโภคน้ำมันปลาสามารถให้ประโยชน์แก่ร่างกายคนเรามากมาย แต่คงมีอีกหลายๆคนที่ไม่ทราบว่า น้ำมันปลาก็ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายเราได้เช่นกัน

ทำความรู้จักนัำมันปลาให้มากขึ้น

  • ช่วยลดระดับของไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride)ได้ระดับหนึ่ง,เพิ่มระดับของ เอช ดี แอล โคเลสเตอรอล (HDL Cholesterol) หรือไขมันที่ดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังมีผลไปเพิ่มไขมัน แอล ดี แอล โคเลสเตอรอล (LDL) ให้สูงตามมาด้วย

  • โรคหลอดเลือดสมองประกอบไปด้วย 3 โรคหลักๆ ได้แก่ เส้นเลือดสมองตีบ แตกและอุดตัน การกินน้ำมันปลาอาจจะมีผลดีต่อการลดอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตัน แต่ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกได้มากขึ้นเช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำว่าควรกินหรือไม่และในปริมาณเท่าใด

  • Children
  • DHA ในกรดไขมันโอเมก้า ช่วยเสริมสร้างระบบเซลล์สมองและระบบประสาทเพื่อเพิ่มความสามารถในการสื่อสารของเด็กทารกจนถึงอายุประมาณ 5 ปีเท่านั้น

    จากการวิจัยพบว่าน้ำมันปลามีส่วนช่วยให้มีความจำได้ดีในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ไม่ใช่สารที่จะช่วยให้เด็กเกิดความฉลาดมากกว่าปกติแต่อย่างใด
    การได้รับสารอาหารครบทุกหมู่และการสร้างสภาวะแวดล้อมการเรียนรู้ที่เหมาะสม จึงจะสามารถกระตุ้นให้เด็กสามารถคิดได้อย่างมีเหตุผล

  • น้ำมันปลาถูกขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษาต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก ซึ่งเสี่ยงกับการเกิดพิษต่อร่างกาย หรืออาจมีสารพิษตกค้าง เนื่องจากภาวะมลพิษทางทะเลในถิ่นที่ปลาซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบอาศัยอยู่

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินน้ำมันปลา
Bad effects of taking too much Fish oil

  1. การเกิดเลือดออก เนื่องจากน้ำมันปลาสามารถลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด จึงส่งผลดีในกรณีโรคหัวใจทำให้เลือดใสขึ้น แต่อาจทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้า และหยุดไหลยาก เพราะเลือดที่ใสจนเกินไป ทำให้แผลหายช้า และเลือดไหลออกนาน ดังนั้นผู้ที่จะเข้ารับการผ่าตัด หรือ หญิงใกล้คลอดควรงดการทานน้ำมันปลา อย่างน้อยประมาณ 1 เดือน

  2. การได้รับน้ำมันปลาที่มี omega-3 มากเกินกว่า 3 กรัมต่อวัน สามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงในคนไข้ที่ระบบหลอดเลือดอ่อนแออยู่แล้ว มีโอกาสที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดในสมองแตกได้ และอาจทำให้เกิดเลือดกำเดาได้ง่ายหรือมีเลือดออกปนออกมากับปัสสาวะจากการทดลองพบผลเสียจากการรับประทานน้ำมันปลาคือ เกิดเลือดกำเดาไหลไม่หยุด ซึ่งคาดว่าอาจเกิดจากน้ำมันปลาทำให้เกิดสภาวะขาดวิตามินอี

  3. ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรรับประทานน้ำมันปลา เพราะพบรายงานที่ส่งผลข้างเคียงให้เกิดปัญหากับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (non-insulin dependent diabetes mellitus)

  4. ความดันโลหิตลดลง ผลต่อระบบเลือดที่กล่าวมาทั้งหมด หากคุณเป็นคนที่มีภาวะความดันต่ำอยู่แล้ว หรือได้รับยาลดความดันควบคู่ไปด้วย ต้องให้ความใส่ใจในผลของน้ำมันปลาที่อาจทำให้เกิดภาวะความดันต่ำได้

  5. Grilled fish.
  6. น้ำมันปลาถูกขึ้นทะเบียนเป็นอาหาร หากจะบริโภคเพื่อการรักษาต้องรับประทานในปริมาณสูงมาก อาจเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษที่ตกค้างในปลาโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังมีการพัฒนาระบบกำจัดของเสียยังไม่ดี ทำให้เกิดการสะสมของสารพิษเหล่านี้ จนเด็กๆแสดงอาการออกมาได้ และในหญิงตั้งครรภ์ หากได้รับสารพิษเหล่านี้จะส่งผลเสียโดยตรงต่อทารกในครรภ์

  7. การกินน้ำมันปลาเดี่ยวๆอาจไม่ให้ผลดีโดยรวมต่อเรื่องไขมันในเลือดแต่อย่างใด โดยเฉพาะในคนไข้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง เพื่อความปลอดภัยควรพบแพทย์และใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆเพื่อควบคุมอาการโรคหัวใจและหลอดเลือดเสียก่อน แล้วเลือกใช้น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมเพิ่มเติมน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วิธีเลือกซื้อน้ำมันปลา
  1. ควรเลือกแหล่งที่มาจากธรรมชาติเช่นผลิตจากปลาทะเล มีการตรวจสอบถึงความเข้มข้นของกรดไขมันที่เราต้องการ รวมทั้งปราศจากสารปนเปื้อนที่อาจติดมาด้วย

  2. Soft gel of fish oil
  3. ปริมาณของ DHA รวม EPA ต้องมีมากกว่า 20% เช่น ใน 1 บรรจุภัณฑ์หนึ่งหน่วยหนัก 525 mg ต้องมี DHA 60mg และ EPA 80mg เพราะบางแบรนด์มีน้ำหนักบรรจุ 1000mg/เม็ด แต่ปริมาณ DHA น้อยมาก ที่เหลือเป็นแป้งและส่วนผสมที่นำมาทำให้เป็นเม็ดแคบซูล

  4. สัดส่วนปริมาณของ DHA : EPA ที่เหมาะสม คือ 1:2 หรือ 2:3 จึงเป็นส่วนผสมที่ออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

  5. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา ที่มีรูปแบบเป็น Soft gel ปิดสนิทจะช่วยปกป้องไม่ให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวข้างในให้เกิดการสลายตัวได้ดีกว่าแบบบรรจุในแคปซูลแข็ง ซึ่งมีโอกาสเกิดรอยรั่วตรงขอบแคปซูล เมื่ออากาศเข้าไปจะเกิดการออกซิไดซ์ ทำให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวคุณค่าที่มีประโยชน์ลดลง

  6. กรดไขมันไม่อิ่มตัวนั้นสลายตัวง่าย จึงมีการเพิ่มวิตามิน E ในน้ำมันปลา เพราะวิตามิน E ทำหน้าที่เป็น Antioxidant ช่วยคงสภาพคุณประโยชน์ของกรดไขมันให้นานขึ้น

แหล่งข้อมูล:
  • Fish oil,www.wikipedia.org/
  • วาทิต ศาสตระวาทิต,งานวิจัยเภสัชอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ, www.gpo.or.th/rdi
  • วินัย ดะห์ลัน กรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า-3 บทบาทใหม่ในทางการแพทย์และอุตสาหกรรม รายงานประจำปี 2538 - 2539 สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย
  • สมพงษ์ สหพงศ์ น้ำมันปลา น้ำมันลดไขมัน, พิมพ์ครั้งที่ 4, สำนักพิมพ์รวมทรรศน์, กรุงเทพฯ กรกฎาคม 2538
  • เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล,http://www.oknation.net/blog
Continue reading...

11/19/2555

เมื่อคนที่คุณรักเป็นอัลไซเมอร์


โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease หรือ AD)

คือโรคที่สมองมีความผิดปกติจนทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาในการจำ การใช้เหตุผล จนถึงการใช้ภาษาในการสื่อสาร
โดยทั่วไปแล้วมักพบได้ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 65 ปี มีพบในคนอายุน้อยบ้างซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ชนิดเกิดเร็ว (early-onset Alzheimer's) แต่อัตราการเกิดกับคนอายุน้อยยังไม่มากเท่าในคนสูงอายุ อาการของโรคอัลไซเมอร์จะเป็นไปอย่างช้าๆ โดยอาการเริ่มแรกจนถึงอาการสุดท้ายอาจกินเวลานานเป็น 10 ปี

สิงที่คนใกล้ชิดควรรู้ เพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม และไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

แพทย์อาจใช้ยาเพื่อช่วยให้ความจำดีขึ้น รักษาหรือลดอาการกระสับกระส่ายและภาวะซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและเข้าใจ เพราะโรคอัลไซเมอร์ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยอย่างมากมาย โดยที่ตัวผู้ป่วยเองก็ไม่สามารถบอกกล่าวรายละเอียดได้ว่าเกิดจากเหตุใด

การดำเนินโรคอัลไซเมอร์มี 4 ระยะ

โดยแบ่งจากลักษณะความบกพร่องของหน้าที่และการรับรู้ที่ลดลงเรื่อยๆ
  • ระยะก่อนสมองเสื่อม(Predementia) อาการเริ่มแรก มักจะเข้าใจว่าเกิดขึ้นเองจากความชรา หรือเกิดจากความเครียด กว่าที่จะพบว่าผู้ป่วยมีความบกพร่องครบตามเกณฑ์การเป็นโรคอัลไซเมอร์ก็กินเวลาถึง 8 ปี

    Couple
    อาการระยะนี้จะมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันที่ซับซ้อน, ความบกพร่องที่เห็นได้ชัดคือเริ่มสูญเสียความจำ, จำข้อมูลที่เรียนรู้เมื่อไม่นานไม่ได้ และความสามารถการรับข้อมูลใหม่ๆลดน้อยลง

    โดยเฉพาะการบริหารจัดการที่ต้องมีสมาธิ เช่น การวางแผน การประเมินสถานการณ์ เกิดความเฉื่อยชา(apathy)ได้ในระยะนี้ และจะเป็นอาการที่คงอยู่ตลอดระยะเวลาการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งระยะนี้อาจเรียกอีกอย่างว่าเริ่มความบกพร่องด้านการรับรู้(mild cognitive impairment)

  • ระยะสมองเสื่อมระยะแรก (Early dementia) ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์จะมีความบกพร่องของความจำและการเรียนรู้ มีความสับสน หลงลืม คิดอะไรครึ่งๆ กลางๆ มักจำเหตุการณ์หรือการสนทนาที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้ ความสามารถในการพูดหรือเขียนภาษาลดน้อยลง การใช้ศัพท์ไม่ฉะฉานหรือคล่องเหมือนเดิม อาจจะเริ่มมีปัญหากับ การเขียน การวาดภาพ หรือการแต่งตัว ซึ่งทำให้แลดูเป็นคนที่เงอะงะหรือซุ่มซ่าม

    ในระยะนี้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ยังสามารถสื่อสารบอกความคิดพื้นฐานของตนได้ และยังสามารถทำงานหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง แต่ในกิจกรรมที่ต้องอาศัยกระบวนการคิดหรือการรู้อย่างมากอาจต้องอาศัยผู้ช่วยหรือผู้ดูแล
  • ระยะสมองเสื่อมระยะปานกลาง(Moderate dementia) จะพบความเสื่อมของสมองจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่สามารถนึกหาคำศัพท์ได้ ทำให้ใช้ศัพท์ผิดหรือใช้คำอื่นมาแทน (paraphasia) ทักษะการอ่านและการเขียนค่อยๆ เสียไปเรื่อยๆ

    ทักษะต่างๆลดลง จนไม่สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ได้อย่างปกติ ความทรงจำระยะยาวซึ่งแต่เดิมยังคงอยู่ก็จะค่อยๆ บกพร่องไป และอาจลืมวิธีทำอะไรง่ายๆ เช่น อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้

    ความจำของผู้ป่วยจะแย่ลงเรื่อยๆ อาจจำคนในครอบครัวหรือญาติสนิทไม่ได้ หลงทางในที่ที่คุ้นเคย,หนีออกจากบ้านเพราะเกิดสับสน หรือเห็นภาพหลอนในเวลาโพล้เพล้หรือกลางคืน (sundowning) ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อาจมีอารมณ์แปรปรวน เช่น ร้องไห้ หรือก้าวร้าวอย่างไม่มีเหตุผล ร้อยละ 30 ของผู้ป่วยเกิดอาการเชื่อว่าบุคคล,สิ่งของ หรือสถานที่เปลี่ยนแปลงไป


  • ระยะสมองเสื่อมระยะสุดท้าย (Advanced dementia)เป็นระยะที่ความจำ การตัดสินใจ และการใช้เหตุผลสูญเสียไปทั้งหมด

    ทักษะทางภาษาของผู้ป่วยลดลง ตั้งแต่พูดได้เพียงวลีง่ายๆ หรือคำเดี่ยวๆ จนถึงขั้นไม่สามารถพูดได้เลย อาจมีอารมณ์ก้าวร้าว แต่อาการซึมและความอ่อนเพลียจะเด่นกว่า จนในที่สุดผู้ป่วยจะไม่สามารถทำกิจกรรมใดได้เลย มวลกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวร่างกายลดลงจนผู้ป่วยต้องนอนนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่สามารถแม้แต่ป้อนอาหารด้วยตนเองได้ ทำให้ต้องได้รับความช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน

    โรคอัลไซเมอร์ไม่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตโดยตรง แต่การเสียชีวิตมักเกิดจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น แผลกดทับหรือโรคปอดบวม





credit:http://th.wikipedia.org
Continue reading...

11/13/2555

อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่


Urinary Incontinence หรือการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่



ถ้าเปรียบเทียบร่างกายคนเรากับรถยนต์ เครื่องยนต์ก็คืออวัยะภายใน ถ้าถูกใช้งานอย่างหนัก และขาดการเอาใจใส่ดูแลการเสื่อมสภาพย่อมเป็นไปตามธรรมดาและโอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็ตามมา หนึ่งในนั้นคือ อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งมีอยู่หลายแบบ




  • อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เพราะแรงบีบตัวที่เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการถ่ายปัสสาวะอย่างมาก แต่กลั้นไว้จนไปถึงห้องน้ำไม่ทัน ซึ่งปัญหานี้มักมาจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินไป การรักษาต้องฝึกควบคุมกระเพาะปัสสาวะ หรือใช้ยาลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะร่วมด้วย
  • อาการกลั้นไม่อยู่เพราะแรงกดดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นขณะ จาม ไอ หัวเราะ หรือมีการเคลื่อนไหวกดดันกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมา อาการนี้มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อกะบังลมหย่อน การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะช่วยได้บ้าง
  • การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เพราะปัสสาวะล้น เกิดขึ้นในภาวะที่ปัสสาวะได้ไม่หมด อาจเกิดจากการอุดตัน เช่น ต่อมลูกหมากโต ดังนั้นเมื่อกระเพาะปัสสาวะขยายเต็มที่แล้ว ปัสสาวะจึงล้นและไหลออกมา ซึ่งกรณีนี้จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ถ้าพบอาการดังกล่าว อย่านิ่งนอนใจควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องได้อย่างทันท่วงที

credit: พบหมอศิริราช โดอย อ.นพ.บรรณสิทธิ์ ไชยประสิทธิ์
Continue reading...

10/16/2555

โรคกระดูกพรุนกับการออกกำลังกาย


โรคกระดูกพรุน

คือภาวะที่เนื้อของกระดูกมีมวลลดลง และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน ทำให้มีโอกาสที่กระดูกเปราะบางและหักง่ายขึ้น ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ สาเหตุมาจากมวลของกระดูกลดลงเรื่อยๆ

และอาจมีอาการกระดูกสันหลังทรุดทำให้หลังโกง ซึ่งในรายที่มีอาการหลังโกงมากๆ ส่งผลให้ปอดทำงานได้น้อยลง และเหนื่อยง่ายกว่าปกติ

นอกจากนี้ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจะถูกเปลี่ยนไปข้างหน้า ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหกล้มและทำให้เกิดกระดูกหักในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ส่วนใหญ่กว่าครึ่งของผู้ที่มีอาการกระดูกทรุดจากภาวะโรคกระดูกพรุนจะปวดหลังและอาจมีอาการปวดเรื้อรังซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแรง

นอกจากอายุที่มากขึ้น, การขาดแคลเซี่ยม ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญก็คือ การไม่ได้ออกกำลังกาย,การไม่ค่อยเคลื่อนไหว หรือมีกิจกรรมในแต่ละวันน้อย เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มมวลกระดูก ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงได้เป็นอย่างดี ก็คือ วิตามินดีในแสงแดดนี่แหล่ะ

เพราะฉะนั้น การออกกำลังกายในช่วงเวลาแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้า นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
Excerise helps us have good figure

สำหรับผู้สูงอายุ ควรเลือกการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมหรือทำให้ร่างกายอ่อนล้าจนเกินไป เช่น การเดิน, เต้นรำ, รำกระบอง หรือ รำไทเก็ก ฯลฯ

ส่วนในผู้ที่มีอาการกระดูกผุแล้วอาจทำกิจกรรมง่ายๆ และควรใช้เข็มขัดพยุงหลังช่วงที่ออกกำลังกาย เช่น ยกแขนขึ้นลงข้างลำตัว, นั่งเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นลงเหมือนเดินหรือปั่นจักรยาน, บิดตัวไปซ้ายและทางขวาเท่าที่ทำได้, การเดินในน้ำ หรือกิจกรรมเบาๆ ที่ไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม และไม่ส่งผลต่อกระดูกสันหลัง หรือต้องใช้จุดสมดุลของร่างกาย (ทั้งนี้ทั้งนั้นความแตกต่างของกล้ามเนื้อก็มีส่วนสำคัญในการเลือกวิธีออกกำลังกายด้วยเช่นกัน)

ไม่เพียงที่การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มมวลกระดูก ทำให้กระดูกหนาขึ้น ไม่เปราะ บาง แตกหักง่าย, กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงจะช่วยพยุงกระดูกให้แข็งแรงเพิ่มขึ้น และการออกกำลังกายยังช่วยเสริมระบบประสาทที่ช่วยป้องกันการหกล้ม ทำให้การทรงตัวดีขึ้น ลดอันตรายจากหกล้มได้อีกด้วย

สำหรับเด็กๆ หรือ ผู้ที่ยังแข็งแรงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกันการดื่มนมเป็นประจำ จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง กล้ามเนื้อแข็งแรง รูปร่างสวยงาม การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก เพียงอาทิตย์ละ 3 วัน วันละประมาณ 20-30 นาทีเท่านั้น จะช่วยป้องกันภาวะของโรคกระดูกพรุนได้


ขอบคุณข้อมูล: พบหมอศิริราช โดย ผศ.นพ.กีรติ เจริญชลวานิช



2livehealthy.blogspot.com เป็นผู้โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า โดยการให้ข้อมูล ในการซื้อสินค้ากับเทรนดี้เดย์ www.trendyday.com ในฐานะสมาชิก affiliate ภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน)
Continue reading...

10/14/2555

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอย่างไรให้ผิวสุขภาพดี


อย่ามองว่าการล้างหน้าเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะนี่แหล่ะคือกุญแจสำคัญของการมีผิวที่สุขภาพดี

ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าให้เราเลือกใช้มากมายและมีหลากหลายรูปแบบ ทั้ง สบู่ก้อน, สบู่เหลว,โฟม,เจล,น้ำมัน,ครีม หรือน้ำมันที่กลายสภาพเป็นครีมเมื่อถูกน้ำ




แล้วผลิตภัณฑ์แบบไหนล่ะที่เหมาะกับผิวของเรามากที่สุด?


เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ เหล่านี้ ว่าแต่ละอย่างทำมาจากอะไร จะได้รู้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ใช้อยู่นั้นเหมาะกับผิวของเราหรือเปล่า
  • สบู่ก้อน

    Soap เกิดจากการผสมของ ไขมันพืช หรือ ไขมันสัตว์ กับ ด่างของโซเดียม หรือ โปแตสเซียม โดยทั่วไปมี มีความเป็นด่างและเป็นประจุลบ มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดและการเกิดฟองดีมาก แต่ด้วยคุณสมบัติที่ชะล้างความมันได้ดี อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังได้
    ภายหลังการล้างหน้าผิวจะมีสภาพความเป็นด่างสูง ซึ่งเป็นสภาวะที่แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เจริญเติบโตได้ดี สบู่ก้อนจึงเหมาะกับผู้ที่มีผิวปกติ หรือ ผิวมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางและระคายเคืองง่าย นอกจากนี้บางคนใช้สบู่ก้อนถูตัวไม่มีปัญหา แต่ถ้านำมาใช้ล้างหน้าด้วยก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
  • สบู่สังเคราะห์

    Syndet หรือ Soapless Soap ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อาจมาในรูปสบู่เหลว, สบู่ก้อน, โฟม หรือ เจล ก็ได้ สบู่สังเคราะห์สามารถปรับความเป็นกรดด่างให้เท่ากับผิวหนังของเราได้ และอาจมีการเติมสารที่ช่วยบำรุงความชื่นชื้นแก่ผิวหนัง
    สาร Surfactant เป็นสารทำความสะอาดที่นิยมใช้ใน Syndet หรือ Soapless Soap เพราะมีคุณสมบัติช่วยให้คราบไขมัน,สิ่งสกปรกบนผิวละลายรวมกับสบู่สังเคราะห์ และล้างออกด้วยน้ำได้ สารเหล่านี้มีอยู่หลายประเภท อาจเป็นประจุบวก, ประจุลบ, ไม่มีประจุ หรือ มีทั้งประจุบวกและประจุลบ ซึ่งความแตกต่างก็เป็นลูกเล่นของแต่ละผู้ผลิต และ สารที่มีประจุจะเกิดฟองและทำความสะอาดได้ดีกว่า สารที่ไม่มีประจุ แต่ ก็อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้มากกว่า

  • Healthy skin
  • โลชั่นเช็ดผิวหน้า

    หรือที่รู้จักกันว่า , Toner และยังมีชื่อเรียกอื่นเช่น Astringent หรือ Clarifying Lotion Toner มักนิยมใช้หลังจากล้างหน้า เพื่อกระชับรูขุมขน และใช้ในผู้ที่เป็นสิวง่าย นิยมเก็บไว้ในที่เย็น หรือตู้เย็นที่ไม่เย็นจนเกินไป เพราะเมื่อใช้เช็ดผิวจะรู้สึกเย็น และผิวสดชื่น บางแบรนด์อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์ เพื่อชวยลดความมันบนใบหน้า

  • ครีมทำความสะอาดผิว

    Cleansing Cream หรือ Cleansing Oil และอาจมาในรูป Cleansing Milk ครีมน้ำนม ครีมทำความสะอาดผิวเหล่านี้ เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้ง แพ้ง่าย มีคุณสมบัติใช้เช็ดเครื่องสำอางได้ดี เพราะเครื่องสำอางส่วนใหญ่สามารถละลายในน้ำมัน ได้ดีกว่าในน้ำ

  • สครับ

    Scrup เม็ดสครับจะช่วยขัดเซลล์ผิวชั้นบนๆ ของหนังกำพร้าซึ่งเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไป ทำให้ผิวสะอาดขึ้น และ การใช้สครับบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ สำหรับผู้ที่มีผิวบาง ควรเลือกชนิดที่เม็ดสครับขนาดเล็กและละเอียดมากๆ เพราะความกระด้างและขนาดของเม็ดสครับที่มีขนาดใหญ่ จะทำร้ายผิวได้มากกว่า
    การสครับผิวควรถูวนบนใบหน้าอย่างเบามือ ในช่วงแรกอาจทำทุกวัน ผ่านไป 2-3 วัน หรือ 1 อาทิตย์ (ขึ้นอยู่กับลักษณะผิว) ควรลดจำนวนครั้งลงเหลือ อาทิตย์ละครั้งหรือสองครั้ง หรือ สองอาทิตย์ครั้ง สำหรับคนผิวบาง

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดประเภทไร้ไขมัน

    Lipid Free Cleanser เป็นสารทำความสะอาดผิวหนังโดยไม่มีสบู่และไขมัน ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำล้าง แต่สามารถทำความสะอาดผิวที่แห้งได้โดยเช็ดแล้วทิ้งฟิล์มให้ความชุ่มชื้นไว้

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวล้วนแล้วสามารถล้างไขมันบนผิวหนังได้ แต่ถ้าใช้ชนิดที่มีความเป็นกรด-ด่างสูง หรือ ใช้บ่อยเกินไป และเลือกชนิดที่ไม่เหมาะกับผิวหน้า ก็จะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ แรกเริ่มอาจทำให้รู้สึก ผิวแห้ง ตึง, เริ่มมีริ้วรอย และหากในผู้ที่มีอาการแพ้อาจเป็น รอยผื่นแดง, ผิวแตก, ผิวเป็นขุย จนถึงขั้น ผิวหนังอักเสบได้

อีกทั้ง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว จะมีการใส่ สี, น้ำหอม เพื่อให้น่าใช้ขึ้น หรือใส่สารกันบูด, ยาฆ่าเชื้อ ให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น สารปรุงแต่งเหล่านี้ก็มีส่วนทำให้เกิดการแพ้ได้

การล้างหน้าไม่จำเป็นต้องขัดถูแรง และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน จะมีฟองหรือไม่มีฟองก็ได้ เมื่อล้างหน้าแล้ว รู้สึกสะอาดสดชื่น หน้าไม่แห้งตึง เป็นขุย หรือแสบ
Continue reading...

10/09/2555

What is GP4G? and Benefits of GP4G


GP4G or Phytoplankton
Water and Glycerin and Artemia Extract


A unique plankton extract that energizes, protects skin from environmental stresses, and enhances maintenance and repair.


Phytoplankton derived from the Greek words, Phyto means plant

and Plankton means made to wander or drift.
They are microscopic organisms that live in any watery environments, both fresh and salty, some are bacteria, protists and most are single-celled plants.


Phytoplankton have chlorophyll to capture sunlight and they usend they use photosynthesis to turn it into chemical energy, like land plants. All phytoplankton photosynthesize consume carbon dioxide, and release oxygen, but some get additional energy by consuming other organisms.

There are many research of Scientists that the appearance of tiny organisms with the ability to convert sunlight, warmth, water and minerals into protein, carbohydrates, vitamins and amino acids marked the beginning of life, the single-cell plants that are the basis of all other life forms on planet earth. They are the 'vegetation' of the ocean.

So Phytoplankton provides essential life support to us directly - as a source of valuable vitamins and minerals - and indirectly, as a source of our oxygen.

Phytoplankton are the food utilized by the worlds largest and longest living animals. Blue whales, Bowhead whales, Whale Shark and many other types of whales all eat plankton. These whales live between 80 - 150 years old, can maintain great strength and endurance throughout their lives.

Phytoplankton provide many if not all of the trace elements we need, to keep this balance in our bodies, and help us live a full life at optimum health levels.

  1. For General Nutrition they contain ultra-potent lipids to enhance brain function.
  2. Supports a healthy heart with their variety of minerals and vitamins.
  3. Clinical tests show that phytoplankton can reduce cholesterol.
  4. Shown to stabilize blood sugar levels.
  5. Supports us in general mental alertness and can combat ADHD, Parkinson's and general dementia.
  6. Relieve pain and inflammation in our joints.
  7. Help in prevention of psoriasis and dermatitis.
  8. For good vision phytoplankton have been shown to be more effective than Lutein. As well, they support a healthy liver, good sleeping habits and an increase in energy levels.
  9. A list of the nutrition available from phytoplankton, include Vitamins B12, C and E, magnesium, chlorophyll, potassium and numerous other vitamins and minerals.

credit:
http://earthobservatory.nasa.gov
http://EzineArticles.com/?expert=Mike_Vincent
Continue reading...

8/02/2555

ทำให้ฟันขาวแบบธรรมชาติ




ใครๆ ก็อยากมีฟันขาว เพราะคนที่ฟันขาวสะอาด ทำให้ยิ้มสวย ดูมีเสน่ห์ และเสริมบุคลิกให้ดูดีขึ้น


แต่ธรรมชาติของฟันที่ใช้งานนานขึ้น สีฟันจะค่อยๆ เปลี่ยนไป เริ่มมีสีเหลืองหรือมีสีเข้มขึ้น ไม่เหมือนตอนเด็กที่ฟันขึ้นใหม่ๆ จึงมีความพยายามในการทำให้ฟันขาว

ทำให้ฟันขาวแบบธรรมชาติ ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

  1. ควรหลีกเลี่ยงต้นเหตุที่ทำให้ฟันไม่ขาวและเปลี่ยนสีเป็นวิธีที่ดีที่สุดคือไม่สูบบุหรี่,ลดการทานชา กาแฟ และ ลดการทานขนมขบเคี้ยวซึ่งมีส่วนประกอบของแป้งเป็นหลักเพราะเป็นต้นเหตุของฟันผุ การหลีกเลี่ยงการบริโภคต้นเหตุเหล่านี้ จะดีกว่าการที่ต้องมาหาวิธีลบคราบฟัน หลังจากที่ฟันเปลี่ยนสีไปแล้ว

  2. หลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง ทุกมื้อ ควรแปรงฟันหรือบ้วนปากให้สะอาด เพื่อไม่ให้เกิดคราบอาหารหรือคราบหินปูนที่ตัวฟัน ใช้ไหมขัดฟัน เพราะซอกฟันที่สะอาดช่วยทำให้ฟันดูขาวขึ้นด้วย
  3. แปรงสีฟันที่ใช้ ควรมีขนแปรงอ่อนนุ่ม และมีปลายเรียวเล็ก และไม่ควรแปรงฟันแรงๆ เพราะไม่เพียงผิวเคลือบฟันจะถูกทำลายไป เหงือกจะถอยร่นตามไปอีกด้วย

  4. green apples

  5. ทานผลไม้เนื้อกรุบกรอบ สามารถช่วยลดคราบที่ติดฟัน และช่วยเสริมให้ฟันดูขาวขึ้น เช่น แอปเปิ้ล เซเลอรี่ แพร์ หรือ แครอท มีคุณสมบัติเสมือนแปรงสีฟันจากธรรมชาติ การเคี้ยวผลไม้ที่มีเนื้อกรุบกรอบนอกจากช่วยทำความสะอาดผิวฟันได้ ยังไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับผิวเคลือบฟัน และผลไม้ยิ่งกรอบก็ยิ่งดี

  6. การทาน ชีส ชิ้นเล็กๆ หลังอาหารอาจจะช่วยป้องกันฟันผุ และยังช่วยเสริมแร่ธาตุให้เคลือบฟัน เพราะชั้นเคลือบฟัน(Enamel) เป็นส่วนที่ทำให้ฟันขาวผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมสด, โยเกิร์ต หรือ ชีส มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งทั้งสองเป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับเคลือบฟัน


  7. ไซลิทอล Xyoltol เป็นสารที่ให้ความหวานธรรมชาติมีโมเลกุลคล้ายน้ำตาลฟรุกโตส และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (Plaque) ในช่องปาก ปกติจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลเพื่อสร้างไฮโดรคาร์บอนขนาดเล็กเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต แต่ไซลิทอล Xyoltol จะไม่ถูกย่อยสลายให้เกิดสภาวะกรดในช่องปาก ทำให้ฟันไม่ผุ และไม่เกิดคราบหินปูน กระตุ้นการผลิตน้ำลาย ทำให้ช่องปากมีสภาพเป็นกลางและนำแร่ธาตุที่มีประโยชน์มาซ่อมแซมชั้นเคลือบฟันที่เสียหาย ให้กลับมีสภาพดีดังเดิม จึงมักมีการนำสารไซลิทอลมาเป็นส่วนผสมใน ลูกอม หรือหมากฝรั่ง

  8. catherine-zeta-jones

  9. สูตรขัดฟันขาวดวยสตรอเบอร์รี่ ของ Catherine Zeta Jones  วิธีคือ
    • บดผลสตรอเบอร์รี่ 1 ผลให้ละเอียด
    • และนำมาผสมกับ เบคกิ้งโซดาbaking soda ½ ช้อนชา ให้เป็นเนื้อเดียวกัน
    • แล้วใช้แปรงขนนุ่มแปรงฟันด้วยส่วนผสมสตรอเบอร์รี่ให้ทั่ว ทิ้งไว้ 5 นาที ล้างออก
    • แล้วแปรงด้วยยาสีฟันปกติอีกครั้ง ใช้ไหมขัดซอกฟันให้สะอาด เพื่อกำจัดน้ำตาลและกรดที่ตกค้างออก แต่วิธีนี้ไม่ควรทำเกินอาทิตย์ละครั้ง เพราะในสตรอเบอร์รี่มีกรด Malic ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเคลือบฟัน
    • ใช้ เบคกิ้งโซดา Baking Soda บีบแตะกับแปรงสีฟันแล้วค่อยบีบยาสีฟันตาม จากนั้นนำมาแปรงตามปกติ

  10. ใช้ยาสีฟันที่มีผงขัดหยาบกว่ายาสีฟันทั่วไป หรือยาสีฟันแบบไวท์เทนนิ่ง ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่หลายชนิด แต่ข้อเสียที่ตามมาคือ จะทำให้ฟันสึก ชั้นเคลือบฟัน หรือ อินาเมล จะหายไป เหลือแต่ชั้นเนื้อฟัน เดนทีน ทำให้เห็นเป็นสีเหลืองเข้มกว่า และส่งผลให้เสียวฟันอีกด้วย จึงไม่ควรใช้เป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ


  11. ฟอกสีฟัน เป็นวิธีที่ทำให้ฟันขาวที่นิยมกันมาก เพราะเห็นผลเร็ว ซึ่งระยะเวลาการรักษาก็ขึ้นอยู่กันสีของฟัน ถ้าฟันมีสีไม่เหลืองมาก อาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าฟันมีสีเข้มมาก อาจต้องใช้เวลานานถึง 4-5 สัปดาห์ การใช้สารฟอกสีฟันมีอยู่ 2 วิธี
    1. ให้ทันตแพทย์ เป็นผู้ทำให้โดยใช้สารฟอกสีฟัน
    2. นำสารฟอกสีฟันกลับไปทำเองที่บ้าน โดยให้ทันตแพทย์เป็นผู้ที่เตรียมอุปกรณ์ให้ แต่เมื่อกลับไปทำแล้วก็ควรกลับเข้าตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัด ปัจจุบันมี เจลสำเร็จรูป (Bleaching Gel) ที่มีตัวยาอย่าง Hydrogen Peroxide หรือ Carbamide Peroxide ที่ทำให้ออกซิเจนในฟันเพิ่มขึ้น ฟันจึงขาวขึ้น สารสองตัวนี้อาจมาในรูปแบบอาจเป็นสติ๊กเกอร์แปะฟัน เป็นเจลที่ทาในถาดแล้วนำมาครอบฟัน หรือบางคนก็เอาสารตัวนี้เดี่ยวๆ ไปผสมน้ำยาบ้วนปากในอัตราส่วน 1:1

อย่างไรก็ตามการพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจดูแลรักษาฟัน ขูดหินปูน, รักษาเหงือก จนถึงการฟอกสีฟัน ฯลฯ  ใกล้หมอเราจะได้รู้ว่าควรป้องกันอย่างไร ซึ่งก็น่าจะง่ายกว่าที่ปล่อยให้ อาการลุกลามจนการรักษาก็เป็นเรื่องยาก

Credit:พบหมอศิริราช, www.sabai-arom.com, http://www.nstda.or.th
Continue reading...

7/31/2555

ทำไมฟันไม่ขาว Why my teeth not white


ปกติฟันของคนเราจะเป็นสีขาว มันวาว เพราะตัวฟันมีชั้นเคลือบฟัน(Enamel)ที่คลุมชั้นเนื้อฟัน(Dentin)ที่อยู่ด้านใน หากใครที่มีชั้นเคลือบฟัน Enamel หนา ก็ทำให้มองเห็นฟันเป็นสีขาวสว่าง แต่ในบางคนที่ชั้นเคลือบฟันบางก็ทำให้สีของชั้นเนื้อฟัน หรือ Dentin ที่มีสีเหลืองเห็นชัดเจนขึ้น

หากใครที่มีชั้นเคลือบฟัน Enamel หนา ก็ทำให้มองเห็นฟันเป็นสีขาวสว่าง แต่ในบางคนที่ชั้นเคลือบฟันบางก็ทำให้สีของชั้นเนื้อฟัน หรือ Dentin ที่มีสีเหลืองเห็นชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ อีกคือ
  1. เกิดจากคราบสีที่เกิดจากอาหารติดอยู่ที่ชั้นเคลือบฟัน ซึ่งเป็นเพราะ การสูบบุหรี่, ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสี อยู่เป็นประจำ เช่น การทานพริก, ลูกอม การดื่มชา กาแฟ ซึ่งหากไม่ทำความสะอาดให้เพียงพอ จะทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ และหินน้ำลายสะสม ที่ชั้นเคลือบฟัน

  2. เกิดจาก ฟันผุ ซึ่งปกติฟันที่ผุ ก็มักมีสีเหลืองเข้มหรือ สีน้ำตาล และนอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน

    1. ฟันผุที่ลุกลามไปถึงโพรงประสาทฟัน เกิดการติดเชื้อในคลองรากฟัน และรักษาคลองรากฟัน เพื่อจะเก็บฟันไว้นั้น ซึ่งต้องกำจัดเนื้อเยื่อที่ไม่สะอาดออกจนหมด แล้วอุดในคลองรากด้วยวัสดุอุดที่เหมาะสม แต่ในวัสดุอุดเหล่านี้มีสารบางอย่างที่สามารถซึมเข้าไปในเนื้อฟันทำให้ฟันมีสีเข้มขึ้นได้

    2. การอุดฟันด้วยโลหะ เช่น อมัลกัม ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงดี แต่สีไม่สวย และเมื่ออุดไปนาน ๆ อาจทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้ หากเกิดรอยรั่วหรือรอยแตก ของวัสดุอุดฟัน ซึ่งถ้าอุดได้ดี ก็จะไม่มีปัญหาอย่างใด แต่ในบางรายที่ฟันผุขนาดใหญ่มากเหลือเนื้อฟันเพียงบางๆ เมื่ออุดด้วย อมัลกัม ก็อาจจะเห็นสีคล้ำของโลหะสะท้อนออกมาได้ ซึ่งอาจเลี่ยงไปใช้วัสดุอุดฟัน ชนิดคอมโพสิตซึ่งสีเหมือนฟัน จะดูสวยกว่า
      Smile

  3. ฟันตาย หมายถึง ฟันที่ไม่มีเลือด และประสาทฟัน มาหล่อเลี้ยง เพราะเส้นเลือดถูกตัดขาดและซากเม็ดเลือดแดงในรากฟันจะซึมเข้าท่อเนื้อฟัน ทำให้ฟันมีสีคล้ำอย่างชัด มีลักษณะทึบไม่โปร่งแสง ไม่เหมือนฟันที่มีชีวิตอยู่ และเป็นเฉพาะซี่ สาเหตุที่ทำให้ฟันตาย มักเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระแทก

  4. ฟันมีสีผิดปกติมาแต่กำเนิด ซึ่งอาจเกิดจากโรคบางอย่างร่วมกับการขาดวิตามิน หรือ การได้รับยาบางชนิดมากเกินไป
    1. ยาปฏิชีวนะ เตรตราไซคลิน ซึ่งอาจได้รับยานี้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ช่วง 3 เดือนขึ้นไป ยานี้มีผลให้การสร้างฟันผิดปกติ ฟันจะมีสีเหลือง,น้ำตาล หรือเทาเข้ม เกิดขึ้นในชั้นเนื้อฟัน โดยไล่จากคอฟันขึ้นมาปลายฟัน

    2. ยาไมโนไซคลิน ซึ่งนิยมใช้รักษาสิว หรือการติดเชื้ออื่นๆ อาจทำให้ฟันเปลี่ยนสีได้ หากได้รับยานี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน

    3. สารฟลูออไรด์ เป็นสารที่ใช้รับประทานเพื่อให้ฟันแข็งแรงไม่ผุง่าย และสร่างความทนทานต่อการทำลายของกรดจากเชื้อแบคทีเรีย แต่ในกรณีที่ได้รับมากเกิดไป จะส่งผลให้เกิดสีที่ชั้นเคลือบฟัน มีลักษณะเป็นจุดขาวขุ่น กระจายที่ตัวฟัน หรือ เรียกว่า ฟันตกกระ แต่มักเกิดขึ้นที่กรามมากกว่าฟันหน้า
Smile

Credit:
พบหมอศิริราช
twitter ทันตแพทย์ @DrWuttibong
http://ampmkho.moph.go.th
Continue reading...

6/19/2555

What is Milk Calcium?


a glass of milk

Milk calcium

is becoming an increasingly important source of calcium supplementation in the food industry. It offers a unique combination of minerals important for proper bone growth, including calcium, phosphorus, magnesium and zinc. Sometimes called milk mineral complex or whey minerals,is a concentrated source of calcium and other minerals derived from milk.

Milk calcium is a natural and label-friendly ingredient that offers excellent purity, bland flavor and high bio-availability.
high calcium food

What is the important of Calcium?


Calcium is key in the building of new bone. And bone development occurs every day of your life. Your body naturally removes old bone and replaces it with new. Losing and growing bone differs depending on your age.

When you were young, you made much more bone than you lost, but the problems start when this balance tips too far in the other direction, and you start losing bone much faster than you can grow it.

Bone loss begins in adult and becomes more serious after age 50. Especially in women, the hormonal changes of menopause ,the drop in estrogen levels that occur with it can greatly worsen the imbalance. The bones naturally lose mass, becoming more brittle.

high calcium food
Because calcium isn't produced by your body, the amount you have depends on the foods you eat that is found in some foods, available as a dietary supplement and some medicines.
The body uses bone tissue as a reservoir for, and source of calcium, to maintain constant concentrations of calcium in blood, muscle, and intercellular fluids. Otherwise,Calcium is required for vascular contraction and vasodilation, muscle function, nerve transmission, intracellular signaling and hormonal secretion.

Which food are high in Calcium?


Dairy products are a good source of easily absorbed calcium and include milk, cheese, yogurt and sour cream, salmon is high in calcium, as are most meats, and calcium is also in eggnog, spinach, peanuts and almonds.

Here's a chart showing how much calcium - measured in milligrams (mg) that you need based on your age.

calcium consumption chart
Continue reading...

6/13/2555

Varicose Vein เส้นเลือดขอดในผู้หญิง


ปัญหาเส้นเลือดขอด


ปัญหาเส้นเลือดขอดสำหรับผู้หญิง อาจจะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ประเด็นสำคัญคือเมื่อเป็นแล้วไม่สวยเอามากๆ เพราะเส้นเลือดขอดก็มักเกิดบริเวณน่อง ซึ่งอย่าว่าแต่นุ่งมินิโชว์เรียวขาเลย นุ่งสั้นแค่เข่ายังไม่กล้าด้วยซ้ำ

  • อาการของคนที่เป็นเส้นเลือดขอดอาจจะเริ่มตั้งแต่ ไม่มีอาการอะไร อาจแค่ปวดน่อง น่องตึงเวลาเดิน หรือ ยืน นาน ๆ เหมือนน่องจะแตก ซึ่งลดอาการดังกล่าวด้วยการหยุดพักกิจกรรม เช่นหยุดเดินแล้วยกขาสูง อาการปวดต่างๆ ก็จะดีขึ้น

  • นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการอื่นร่วม เช่น มีอาการบวม มีผื่นคัน ผิวหนังมีสีดำคล้ำบริเวณเหนือข้อเท้าด้านใน และ อาจมีแผลเกิดขึ้น หากเป็นมากขึ้น ก็มักเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดและอักเสบ ตามเส้นเลือดดำขอด,เลือดออกเพราะเส้นเลือดดำขอดแตก หรือ มีก้อนจากหลอดเลือดดำอุดตัน

สาเหตุการเกิดเส้นเลือดขอด มักมาจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องยืน, เดิน หรือนั่งเป็นเวลานานๆ ซึ่งอาการเส้นเลือดขอด มีด้วยกันอยู่หลายประเภท

  1. การเกิดเส้นเลือดขอดฝอย เส้นเลือดฝอยมีลักษณะเหมือนตาข่าย ตามน่อง และต้นขา ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจาก ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง รวมถึงสาเหตุมาจากการนั่ง ยืน หรือเดิน เป็นเวลานานๆ และพบมากในผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก และ สตรีตั้งครรภ์ การช่วยให้เส้นเลือดขอดฝอยดีขึ้น คือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ต้อง ยืน,เดิน, การใส่ถุงน่อง หรือ ออกกำลังกาย

  2. การเกิดเส้นเลือดดำขอด หมายถึง หลอดเลือดดำมีการโป่งโต ยืดยาว และคดเคี้ยวผิดรูปไปจากเดิม ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากในคนผอม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ
    1. เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งคาดว่าการเส้นเลือดดำขอด มาจากกรรมพันธุ์ รวมถึงปัจจัยเสริมจากกิจกรรมการใช้ชีวิต เช่นการยืน เดิน นั่ง นานๆ ซึ่งส่งผลให้ ลิ้นปิด-เปิดของหลอดเลือดดำ และผนังของหลอดเลือดดำเสีย และเลือดดำไหลกลับไม่สะดวก ทำให้เกิดการไหลย้อนกลับ จนเกิดการเป็นเส้นเลือดขอด

    2. กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทราบสาเหตุการเกิดเส้นลือดขอด ซึ่งเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดดำส่วนลึก อาจเกิดจากมีก้อนเลือดไปจุกที่หลอดเลือดดำ หรือมีก้อนเนื้องอก มาเบียดกดหลอดเลือดดำ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งเนื้องอกชนิดร้าย และไม่ร้าย

การรักษาอาการเส้นเลือดขอด

ในผู้ป่วยที่เป็นเส้นเลือดขอดฝอย หากมีอาการปวดน่อง ก็สามารถรักษาได้ด้วยการฉีดยา เพื่อให้เส้นเลือดฝอยฝ่อไป หรือรักษาด้วยเลเซอร์ในผู้ป่วยที่เส้นเลือดขอดมีขนาดเล็ก


แหล่งข้อมูล : พบหมอศิริราช โดย ผศ.นพ.เฉนียน เรืองเศรษฐกิจ
Continue reading...

6/12/2555

Chlorophyll is found in?


Chlorophyll


Chlorophyll is the green coloration in leaves and the molecule that absorbs sunlight and uses its energy to synthesis carbohydrates from CO2 and water. This process is known as photosynthesis and is the basis for sustaining the life processes of all plants. Since animals and humans obtain their food supply by eating plants, photosynthesis can be said to be the source of our life also.

vegetable
Chlorophyll as a Photoreceptor that traps this 'most elusive of all powers' and is called a photoreceptor. It is found in the chloroplasts of green plants, and is what makes green plants, green. The structure of Chlorophyll is very similar to the group founded in hemoglobin, except that the central atom in hemoglobin is iron, whereas in chlorophyll it is magnesium.

Benefit of Chlorophyll

This means when we ingested, chlorophyll actually helps to do the job of hemoglobin. It helps to rebuild and replenish our red blood cells, boosting our energy and increasing our wellbeing almost instantly, it has so many health benefits.
Chlorophyll consumption increases the number of red blood cells and, therefore, increase oxygen utilization by the body. Chlorophyll helps to regenerate our bodies at the molecular and cellular level and is known to help cleanse the body, fight infection, help heal wounds, and promote the health of the circulatory, digestive, immune, and detoxification systems, also reduces the binding of carcinogens to DNA in the liver and other organs.
It also breaks down calcium oxalate stones for elimination, which are created by the body for the purpose of neutralizing and disposing of excess acid.

Chlorophyll, being highly alkaline, also gives the body the following benefits:

  • Anti Carcinogenic: It blocks the metabolism in the body of harmful chemicals known as procarcinogens that damage DNA.
  • Antioxidant & Anti-inflammatory: containing high levels of the vitamins A, C and E, chlorophyll has strong antioxidant capacity.
  • Chelation of Heavy Metals: chlorophyll is one of the most important chelate in nature. Its ability to bind to and remove toxic heavy metals such as mercury makes it an extremely powerful healer.
  • Antiseptic: It has the ability to aid our body’s tissue in destroying germs. By strengthening tissue, it increases the disease resistance of cells and, at the same time, prevents the growth of bacteria!
  • Treats Bad Breath: Chlorophyll helps for bad breath, as a deodorizer, it will eliminate odors in the mouth and throat, and then it promotes a healthy digestive tract – which is the primary reason for bad breath.
  • Chlorophyll Delivery Magnesium rapidly: this has a highly alkalizing effect on the body and helps to deliver much needed oxygen to cells and tissues.
  • Contains vitamin K, C, folic acid, iron, calcium, protein: which are all also essential in building and repairing red blood cells and boosting our immune system.
cabbage

Where is the source of chlorophyll?

Vegetable are a good source that it contains chlorophyll table such as spinach, lettuce, broccoli, Asian greens, green capsicum, asparagus, peas, beans, kale etc.
Continue reading...

6/11/2555

Calcium Benefit แคลเซียมนั้นสำคัญไฉน


sponsored

Calcium Benefit แคลเซียม มีความสำคัญอย่างไร?

แร่ธาตุพื้นฐาน ที่มีความสำคัญต่อร่างกายมากๆ ชนิดหนึ่งคือ "แคลเซียม" ซึ่งเราสามารถพบมากในอาหารจำพวกปลา กุ้งแห้ง นม หรือในเต้าหู้เนื้อแข็ง
Milk แคลเซียมมีมากในนม
โดยทั่วไป ในร่างกายของคนเรา มีแคลเซียม สะสมอยู่ในกระดูกมากถึง 99%

หน้าที่หลักของแคลเซียมคือ ช่วยลดการเกิดโรคกระดูกพรุน, ลดการแตกหักของกระดูกสะโพกที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับผู้หญิง และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โรคความดัน และอาการผิดปกติต่างๆ ก่อนการมีประจำเดือนด้วย

เรียกได้ว่า แคลเซียมมีความบทบาทสำคัญ ต่อหัวใจ ประสาท กล้ามเนื้อ และอวัยะอื่นๆ ให้ทำงานได้ปกติ

แต่เพราะว่าในกระดูกคนเรามีเซลล์ชนิดหนึ่ง เรียก "osteoclasts" ที่ทำหน้าที่สลายสารแคลเซียม เพื่อส่งแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือด

และถ้าร่างกายเราไม่ได้รับแคลเซียมชดเชยในปริมาณที่เพียงพอในแต่วัย อาจทำให้เกิดอาการขาดแคลเซียมได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเด็ก สามารถชดเชยแคลเซียมที่สูญเสียไป ด้วยการรับประทานแคลเซียมเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ และโดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองหรือ วัยหมดประจำเดือน การสูญเสียแคลเซียม อาจเลยเถิดจนเป็นสภาพที่ถาวรและรุนแรงจนเกิดโรคกระดูกพรุนได้
นอกจากนี้ แคลเซียมที่ถูกสลายออกมา และร่างกายไม่สามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทั้งหมด ก็เกิดการสะสมเป็นหินปูน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และอาการชัก

Vegetable

ความต้องการแคลเซียมเพื่อชดเชยการสูญเสียในแต่ละวันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ และภาวะของร่างกาย

ช่วงอายุปริมาณแคลเซี่ยมที่ควรได้รับต่อวัน
เด็กแรกเกิด ถึง 6 เดือน
210  มิลลิกรัม
6 เดือน - 1 ปี
270  มิลลิกรัม
1 - 3 ปี
700  มิลลิกรัม
4 - 8 ปี
1000  มิลลิกรัม
9 - 18 ปี
1300  มิลลิกรัม
19 - 50 ปี
1000  มิลลิกรัม
51 - 70 ปี
1200  มิลลิกรัม
มากกว่า 70 ปี
1200  มิลลิกรัม
หญิงมีครรภ์,หญิงให้นมบุตร
1300  มิลลิกรัม
วัยหมดประจำเดือน
1000 - 1500 มิลลิกรัม


ขอบคุณแหล่งข้อมูล:
พบหมอศิริราช - รศ.นพ.สารเนตร ไวคกุล
vatchinan2.blogspot.com - นพ.มานิตย์ วัชร์ชัยนันท์

Continue reading...

5/15/2555

Why do we wear sunglasses ทำไมเราต้องใส่แว่นกันแดด


sponsored
หน้าร้อนปีนี้อากาศร้อนเหลือใจ และแสงแดดเวลากลางวันจ้ามาก ทำให้ทุกวันนี้ขาด" เจ้าแว่นกันแดด"ไม่ได้เลยซึ่งคุณสมบัติของแว่นกันแดด เป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้เลย เพราะแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ที่มีทั้งคุณอนันต์ และมีทั้งโทษมหันต์เช่นกัน

"แว่นกันแดด" เรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวที่สามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ ที่สำคัญคือ แว่นกันแดดที่จะใช้นั้น ต้องสามารถป้องกัน ไม่ให้แสงอุตราไวโอเลตผ่านเข้ามากระทบดวงตาโดยตรง เพราะในแสงอาทิตย์ที่ส่งมายังพื้นโลก มีทั้งแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่า และแสงคลื่นสั้นที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เช่นกัน และแสงคลื่นสั้นนั้น เราเรียกกันว่า แสงอัลตราไวโอเลต หรือ คลื่นแสงยูวี ซึ่งมีความยาวคลื่นต่ำกว่า 400 nm
Sunflowers garden
แสงคลื่นสั้น หรือ แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแบ่งเป็น แสงยูวีเอ,แสงยูวีบี และ แสงยูวีซี แต่มีเพียง แสงยูวีเอ และ แสงยูวีบี เท่านั้น ที่สามารถส่องผ่านมายังผิวโลก ซึ่งผลของการที่ได้รับรังสียูวีทั้ง เอ และ บี ในปริมาณที่มากเกินจำเป็น อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง,ต้อเนื้อ, ต้อกระจก หรือ จอประสาทตาเสื่อมเป็นต้น

ดังนั้น แว่นกันแดด ที่ใช้ควรมีมาตรฐานและสามารถป้องกันรังสียูวีเอ ได้อย่างน้อย 80% หรือ ยอมให้แสงยูวีเอผ่านได้เพียงร้อยละ 20 เท่านั้น ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือในการตรวจวัด ดังนั้นการเลือกแว่นกันแดดจึงมีความสำคัญมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อสุขภาพของดวงตาเรา

เคล็ดลับการเลือกซื้อแว่นกันแดด
  1. เลนส์พลาติกมักป้องกันแสงยูวีได้ดีกว่าเลนส์แก้ว
  2. เลนส์ที่มีระบุไว้ว่า ป้องกันรังสียูวีได้ น่าจะป้องกันแสงยูวีได้ดีกว่าเลนส์ที่ไม่ได้มีการระบุไว้
  3. แว่นกันแดดที่เป็น Polarized Lens เป็นเลนส์ที่ตัดแสงจ้าได้ดี ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายตา แต่สามารถกรองแสงยูวีได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  4. แว่นกันแดดที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป

ข้อมูลจาก:แว่นกันแดดถนอมดวงตา โดย ผศ.พญ.วิภาวี บูรณพงศ์ / พบหมอศิริราช P.012
Continue reading...

2/09/2555

Acne ทำไมถึงเป็นฝ้า


sponsored


นอกจากเรื่องของ สิวและ ริ้วรอย ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องฝ้าบนใบหน้า ก็เป็นปัญหาอีกเรื่อง ที่ไม่ธรรมดา ถึงแม้ฝ้าจะไม่ได้มีอันตรายใดๆ กับสุขภาพ จนต้องทำการรักษา แต่ก็สามารถสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่ประสบปัญหา เพราะเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพ และความสวยงาม โดยตรง
ฝ้ามักเกิดกับผู้หญิง แต่อาจพบในผู้ชายบ้าง และเมื่ออายุล่วงเข้าวัยกลางคนก็มีโอกาสเป็นมากขึ้น ลักษณะของฝ้าคือ เป็นปื้นสีคล้ำ อาจเกิดบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก คาง และ เมื่อเกิดบริเวณแก้ม ก็มักมีลักษณะคล้ายกันทั้งสองข้าง
ฝ้าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (Melanin Pigments) ที่ผิวหนัง เพราะถูกกระตุ้นจากแสงแดด จึงเกิดสีคล้ำขึ้น เพราะเหตุนี้ การเกิดฝ้าจึงมักพบในคนประเทศเขตร้อน และคาดกันว่าสาเหตุของการเกิดฝ้า เป็นผลมาจากการถูกกระตุ้น ด้วยปัจจัย ต่างๆ เช่น
  • รังสีอัลตราไวโอเลต ทั้ง UVA และ UVB ในแสงแดด ซึ่งรังสีทั้งสองนี้ เป็นปัจจัยหลักๆ ที่กระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น และอาจเป็นผลให้เกิดฝ้า
  • ฮอร์โมนเพศหญิง หรือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงทำให้พบการเกิดฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่กินยาคุมกำเนิด หรือ หญิงที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
  • พันธุกรรมและเชื้อชาติ คนเอเชียมีโอกาสเป็นฝ้า ได้ง่ายกว่าคนผิวขาว และยังพบอีกว่า ประวัติครอบครัวก็มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน
การรักษาฝ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจใช้เวลานาน ที่สำคัญหลังการรักษาแล้ว อาจไม่หายขาด หรือมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีการรักษาอาจมีหลายวิธีคือ
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า เช่น ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด
  • การใช้สารที่ทำให้ผิวขาว เพื่อให้ฝ้าดูจางลง ก็อาจเกิดผลข้างเคียงจากยา หรืออาจทำให้ผิวแดง ผิวด่าง หรือ ผิวบางลงกว่าปกติ
  • ลอกฝ้าด้วยสารเคมี โดยใช้กรดอ่อนๆ เช่น Alpha Hydroxy Acids (AHAs) หรือ Trich-loroacetic Acid (TCA) 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบนๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีอยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้าต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากไม่ได้ทำการรักษาด้วยแพทย์ที่เชี่ยวชาญอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ผิวหน้าลอก ผิวไหม้
  • การใช้แสงและเลเซอร์ วิธีนี้ยังไม่จัดเป็นมาตรฐานในการรักษา เป็นการรักษาที่มีราคาแพง ต้องทำซ้ำ และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ วิธีนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้
อย่างไรก็ดี วิธีรักษาโดยการใช้สารทำให้ผิวขาว, การลอกฝ้า และ การใช้แสงและเลเซอร์ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
Continue reading...

1/30/2555

Carbohydrate คาร์โบไฮเดรต


Carbohydrate (คาร์โบไฮเดรต)

เป็นสารอาหารที่มี คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน (Carbon, Hydrogen and Oxygen) เป็นองค์ประกอบสำคัญ คาร์โบไฮเดรตที่มีในอาหาร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม


พวกที่เป็นน้ำตาล - คาร์โบไฮเดรตที่มีรสหวานและละลายน้ำได้ แบ่งออกได้ 

  1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ โมโนแซ็กคาไรด์ Monosaccharide เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้อีก สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ตัวอย่างของน้ำตาลชนิดนี้ คือ กลูโคส , ฟรุกโตส , และแกแล็กโตส
    sugar
    • Glucose (กลูโคส) พบในผักและผลไม้ที่มีรสหวาน

    • Fructose (ฟรุกโตส) มีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น พบในน้ำผึ้งและผัก ผลไม้ที่มีรสหวานเช่นกัน

    • Galactose (แกแล็กโตส) พบในน้ำนม

  2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ หรือ ไดแซ็กคาไรด์ Disaccharides เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่เกิดจากการรวมตัวของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุล ซึ่งอาจเป็นชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันก็ได้ น้ำตาลชนิดนี้ เมื่อกินเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลาย ให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อน จึงดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างของน้ำตาลชนิดนี้ คือซูโครส หรือ น้ำตาลทรายมอลโทส และ แล็กโทส (Sucrose , Maltose or Malt Sugar and Lactose)

  3. Sucrose (ซูโครส) พบในผักและผลไม้ เช่น อ้อย ตาล มะพร้าว หัวบีท ฯลฯ Sucrose แตกตัวออกจะได้ Glucose (กลูโคส) และ Fructose (ฟรุกโตส) อย่างละ 1 โมเลกุล

  4. Maltose (มอลโทส) พบใน ข้าวบาร์เลย์ หรือ ข้าวมอลต์ ที่นำมาทำเบียร์ เครื่องดื่มมอลต์ต่างๆ Maltose เมื่อแตกตัวออกจะได้ Glucose (กลูโคส) 2 โมเลกุล

  5. Lactose (แล็กโทส) พบในน้ำนม Lactose เมื่อแตกตัว จะได้ Glucose (กลูโคส) และ Galactose (แกแล็กโตส) อย่างละ 1 โมเลกุล

พวกที่ไม่ใช่น้ำตาล - เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีรสหวาน ละลายน้ำยากหรือไม่ละลายเลย

กลุ่มที่ไม่ใช่น้ำตาลนี้ เกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ Monosaccharide โมโนแซ็กคาไรด์ จำนวนมาก เกาะรวมตัวกัน เป็นสารที่มีโมเลกุลเชิงซ้อน เรียกว่า Polsaccharide (พอลิแซ็กคาไรด์) ตัวอย่าง ของ Carbohydrate (คาร์โบไฮเดรต) กลุ่มนี้ ได้แก่
Fruit

  1. Flour (แป้ง) เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่พืชเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะ ส่วนของเมล็ด ราก หรือ หัว

  2. Cellulose (เซลลูโลส) เกิดจาก กลูโคส ประมาณ 50,000 โมเลกุล เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว ขนานกัน และ มี แรงยึดเหนี่ยวระหว่างสาย จึงมีลักษณะเป็นเส้นใยพบในพืช โครงสร้างส่วนใหญ่ของพืชเป็น เซลลูโลส โดยเฉพาะที่ เปลือก ใบ และเส้นใยที่ปนอยู่ในเนื้อผลไม้

    ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้ แต่จะขับถ่ายออกมาในลักษณะของกาก ที่เรียกว่า เส้นใยอาหาร , เส้นใยอาหาร ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ขับถ่ายสะดวก พืชประเภทผัก และถั่ว ผลไม้ มีเซลลูโลสอยู่ปริมาณสูง จัดเป็นแหล่งที่ให้เส้นใยอาหาร จึงควรกินเป็นประจำทุกวัน ประมาณ 20 - 36 กรัม ต่อวัน

  3. Glycogen (ไกลโคเจน) เป็นคาร์โบโฮเดรตประเภทแป้ง ที่สะสมอยู่ในร่างกายของคน และ สัตว์ ไม่พบในเซลส์พืช พบมากใน ตับ และ กล้ามเนื้อ บางทีเรียกว่า แป้งสัตว์ มีส่วนประกอบคล้ายแป้ง แต่มีกิ่งก้านมากกว่า เมื่อแตกตัวออกจะได้กลูโคส เมื่อปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดลดลง หรือร่างกายขาดสารอาหาร ตับจะเปลี่ยนไกลโคเจนเป็น Glucose (กลูโคส) เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายต่อไป ไกลโคเจนประกอบ ด้วยกลูโคสประมาณ 10,000-30,000 โมเลกุล
คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารหลัก ที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายนำมาใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่างกายต้องใช้พลังงาน จากคาร์โบไฮเดรต ในแต่ละวันประมาณร้อยละ 50 - 55 ของพลังงานทั้งหมด ที่ได้รับจากอาหาร ดังนั้น การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งให้ได้ปริมาณ 300 - 400 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เพียงพอกับปริมาณพลังงาน ที่ร่างกายต้องการ
Continue reading...

1/29/2555

Protein Consumption : โปรตีนแต่ละวัน


ควรทานโปรตีนเท่าไรในแต่ละวัน

อย่างที่รู้ๆ กัน ปัจจุบันนี้การทานให้ครบห้าหมู่กลายเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะคนเมือง ที่มีชีวิตแบบรีบเร่ง อยู่ตลอดเวลา หยวนๆ กินให้อิ่มแล้วรีบไปทำงานกันซะส่วนใหญ่ แถมพอมีเวลาบ้าง ก็ทานตามร้านอาหาร ทางหนึ่งเพื่อเป็นการพักผ่อน พบปะ เพื่อนฝูง อีกทาง บั่นทอนกระเป๋าตังค์แก้เซ็ง

แต่ละคนก็มีความชอบที่ต่างกัน บางคนชอบทานอาหาร กลุ่มคาร์โบไฮเดรต อย่าง ขนมปัง บางคนชอบขนาดที่ว่า ถ้าขนมปังหน้าตาไม่เหมือนกัน ต้องลองชิมเลยว่ารสชาติต่างกันตรงไหน

บ้างก็ทานข้าวแยะมากๆ ไม่งั้นไม่อิ่ม จริงๆ แล้วจะดีกว่า ถ้าเราสามารถจัดสรร กลุ่มอาหารต่างๆ ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับร่างกายเรา เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ยืนยาว

อย่างที่เราเคยเรียนกันมาว่า ควรทานอาหารให้ครบ ห้าหมู่ในแต่ละวัน อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ ฯลฯ แล้วปริมาณที่เหมาะสม สำหรับร่างกายแต่ละคน นั้นควรเป็นปริมาณเท่าใด
protein ,meat
Protein,shrimp

โปรตีน เราต้องการโปรตีนเท่าไร
ร่างกายคนเราต้องการโปรตีน ในการเสริมสร้างการเติบโต พอโตเต็มที่ ก็ใช้ในการซ่อมแซม โปรตีน จึงเป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้เลย แต่บริโภคมาก พานจะอ้วนเกินไปอีก เพราะงั้นปริมาณที่เหมาะๆ สำหรับแต่ละคน เราสามารถคำณวนได้ตามน้ำหนักของแต่ละบุคคลเลย

สูตรหาปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแต่ละวัน
  1. สูตรนี้ใช้น้ำหนักของเราที่เป็นกิโลกรัมแล้วนนำมาคูณกับอัตราคูณ ช่วง 0.8 ถึง 1.8 เพื่อหาปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับร่างกาย (หน่วยเป็นกรัม)
  2. กรณีที่ใช้น้ำหนักหน่วยเป็นปอนด์ ต้องนำน้ำหนักปอนด์ หารด้วย 2.2 เพื่อให้ได้น้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัม แล้วจึงนำไปคำนวณตามข้อ 1
เงื่อนไขการใช้ตัวคูณ 0.8 -1.8 กรัม
  1. ตัวคูณ 0.8 ใช้สำหรับคนสุขภาพปกติ และไม่ได้มีกิจกรรมในวันมาก
  2. ส่วนตัวคูณที่สูงขึ้น เช่น ช่วงระหว่าง 1 ถึง 1.8 ใช้สำหรับผู้ที่มี ความเครียด, กำลังตั้งครรภ์, อยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการเจ็บป่วย หรือ ผู้ที่ออกกำลังกายหนักอย่างสม่ำเสมอ นั่นหมายถึงเป็นผู้ที่มีความต้องการโปรตีนในปริมาณที่สูงกว่า
ตัวอย่าง :
  1. น้ำหนักเป็น ปอนด์ ให้แปลงน้ำหนัก ให้เป็น กิโลกรัม ซะก่อน เช่น น้ำหนัก 154 ปอนด์ (lbs) แปลงตามสูตร ได้ 70 (kgs)
    • 154 lbs / 2.2 = 70 kgs.

  2. การหาปริมาณบริโภคโปรตีน สำหรับ ชายน้ำหนัก 70 กก. ที่ออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก อย่างสม่ำเสมอ จึงต้องใช้ตัวคูณช่วง 1-1.8 ในที่นี้เลือกใช้ 1.5
    • 70 กก. x 1.5 = 105 กรัมต่อวัน

ผลลัพท์คือ ผุ้ชายที่น้ำหนัก 70 กิโลกรัม หรือ 154 ปอนด์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปริมาณบริโภคโปรตีนที่เหมาะสม อยู่ที่ 105 กรัมต่อวัน
Continue reading...

1/28/2555

Botox Effect ผลกระทบจากการฉีด โบท็อกซ์


ผลกระทบจากการฉีด โบท็อกซ์


ในสหรัฐอเมริกา มีการฉีดโบท็อกซ์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการรวบรวมสถิติ และพบว่าการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซินไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่อาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อย ถึง ปานกลาง และมักหายไปใน 1-2 สัปดาห์
และผลข้างเคียงต่างๆ ที่ตามมาหลังจากการฉีด ได้แก่
  • อาจมีอาการปวดศีรษะ หรือ รู้สึกเจ็บๆ คันๆ บางคนอาจมีรอยช้ำ เกิดจาก เข็มฉีดยาแทงทะลุหลอดเลือดแตก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการฉีดบริเวณหางตา
  • เกิดอาการคิ้วหรือหนังตาตก ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ฤทธิ์ของโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox), จากเทคนิคการฉีด หรือ จากการที่สารนี้ ไหลไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่ ควบคุมการหดตัวของเปลือกตา
  • อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่
lady from favlens.com ที่สำคัญหลังการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ไม่ควรบีบนวดบริเวณที่ฉีดยา และไม่ควรนอนภายใน 3 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะอาจทำให้ยาไหลไปกล้ามเนื้อมัดอื่น
ค่าใช้จ่ายการฉีดโบท็อกซ์ นั้น ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณของสารที่ใช้, สถานพยาบาล และ ประสบการณ์ของแพทย์
อย่างที่ได้กล่าวแต่ต้นว่า โบท็อกซ์ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ ก็มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ หรือ ใช้ยาที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ที่ควบคุมกล้ามเนื้อ แม้ว่าในหญิงมีครรภ์ หรือ ที่กำลังให้นมบุตร ไม่เคยมีรายการว่าเกิดอันตราย แต่ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง การรักษาด้วยวิธีนี้
การใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน จัดว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี และปลอดภัย หากทำด้วยแพทย์ที่มีความชำนาญ ไม่ว่าเพื่อการรักษาโรค หรือ หรือฉีดเพื่อเสริมความงาม และใช้รักษาในผู้ที่ไม่มีข้อห้ามการใช้ และผู้ที่ได้รับการรักษานั้น ก็สามารถดูแลและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง
Continue reading...

1/24/2555

Sunlight-UVA-UVB แสงแดด กับ UVA UVB



เป็นที่ทราบกันดี ว่า แสงแดด มีความสำคัญในการสร้างวิตามินดี ที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูก โดยเฉพาะในวัยเด็ก การไม่ได้รับแสงแดดมากพอ อาจทำให้พบปัญหากระดูกอ่อนในวัยเด็ก และกระดูกบางในวัยสูงอายุได้ แต่ทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ แสงแดดให้ประโยชน์กับร่างกายมนุษย์เรา ในทางเดียวกัน การได้รับแสงแดด เป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้ ผิวหนังไหม้แดง ผิวคล้ำและเกิดริ้วรอย

ในแสงแดด มีรังสียูวี ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังอยู่ 2 ชนิด

    แสงแดดในทุ่งทานตะวัน-sunshine and sunflower
  • รังสี UVA มีความยาวคลื่น 320-400 นาโน (nm) ส่องมายังพื้นโลก ด้วยปริมาณที่สูงกว่า UVB ถึง 20 เท่า แต่เนื่องจากมีความยาวคลื่น ที่ยาวกว่า ดังนั้นการทำให้ผิวแดงด้วยรังสี UVA ต้องใช้พลังงานมากกว่า รังสี UVB ถึง 1000 เท่า และ ต้องใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
  • แต่เพราะ ร้อยละ 30 ของรังสี UVA สามารถส่องผ่านลงไปได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ และสามารถส่องผ่านกระจกได้ ไม่ว่าจะยู่ในอาคารหรือในรถ ก็ยังได้รับรังสี UVA

    แม้จะไม่ทำให้ผิวหนังแดง แต่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ เส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน และหลอดเลือดได้

    กระบวนการนี้ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ผ่านกลไก ของการอักเสบของหนังแท้ แต่เกิดจากอนุมูลอิสระ หรืออาจกล่าวได้ว่า รังสี UVA อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเกิดมะเร็งผิวหนังจากเม็ดสี Melanoma


  • รังสี UVB มีความยาวคลื่น 290-320 นาโน (nm) คิดเป็นปริมาณประมาณ10% ของแสงแดดทั้งหมดที่ผ่านมายังผืนโลก

  • รังสี UVB มีฤทธิ์ทำลายผิวหนังสูงกว่า รังสี UVA ด้วยเวลาประมาณ 15-30 วินาที รังสี UVB ก็สามารถทำให้ เกิดอาการผิวไหม้แดง




แหล่งข้อมูล:ที่ระลึกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย วาระครอบรอบ 36 ปี
Continue reading...
 

To live healthy Copyright © 2009 Cosmetic Girl Designed by Ipietoon | In Collaboration with FIFA
Girl Illustration Copyrighted to Dapino Colada