- ฝ้ามักเกิดกับผู้หญิง แต่อาจพบในผู้ชายบ้าง และเมื่ออายุล่วงเข้าวัยกลางคนก็มีโอกาสเป็นมากขึ้น ลักษณะของฝ้าคือ เป็นปื้นสีคล้ำ อาจเกิดบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก คาง และ เมื่อเกิดบริเวณแก้ม ก็มักมีลักษณะคล้ายกันทั้งสองข้าง
- ฝ้าเกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (Melanin Pigments) ที่ผิวหนัง เพราะถูกกระตุ้นจากแสงแดด จึงเกิดสีคล้ำขึ้น เพราะเหตุนี้ การเกิดฝ้าจึงมักพบในคนประเทศเขตร้อน และคาดกันว่าสาเหตุของการเกิดฝ้า เป็นผลมาจากการถูกกระตุ้น ด้วยปัจจัย ต่างๆ เช่น
- รังสีอัลตราไวโอเลต ทั้ง UVA และ UVB ในแสงแดด ซึ่งรังสีทั้งสองนี้ เป็นปัจจัยหลักๆ ที่กระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น และอาจเป็นผลให้เกิดฝ้า
- ฮอร์โมนเพศหญิง หรือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน จึงทำให้พบการเกิดฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่กินยาคุมกำเนิด หรือ หญิงที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์
- พันธุกรรมและเชื้อชาติ คนเอเชียมีโอกาสเป็นฝ้า ได้ง่ายกว่าคนผิวขาว และยังพบอีกว่า ประวัติครอบครัวก็มีส่วนสัมพันธ์กับการเกิดฝ้าด้วยเช่นกัน
- การรักษาฝ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจใช้เวลานาน ที่สำคัญหลังการรักษาแล้ว อาจไม่หายขาด หรือมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำใหม่ได้ทุกเมื่อ วิธีการรักษาอาจมีหลายวิธีคือ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่เป็นต้นเหตุของการเกิดฝ้า เช่น ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด
- การใช้สารที่ทำให้ผิวขาว เพื่อให้ฝ้าดูจางลง ก็อาจเกิดผลข้างเคียงจากยา หรืออาจทำให้ผิวแดง ผิวด่าง หรือ ผิวบางลงกว่าปกติ
- ลอกฝ้าด้วยสารเคมี โดยใช้กรดอ่อนๆ เช่น Alpha Hydroxy Acids (AHAs) หรือ Trich-loroacetic Acid (TCA) 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบนๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีอยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้าต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ แต่หากไม่ได้ทำการรักษาด้วยแพทย์ที่เชี่ยวชาญอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ผิวหน้าลอก ผิวไหม้
- การใช้แสงและเลเซอร์ วิธีนี้ยังไม่จัดเป็นมาตรฐานในการรักษา เป็นการรักษาที่มีราคาแพง ต้องทำซ้ำ และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ วิธีนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้
- อย่างไรก็ดี วิธีรักษาโดยการใช้สารทำให้ผิวขาว, การลอกฝ้า และ การใช้แสงและเลเซอร์ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
0 comments:
แสดงความคิดเห็น