1/30/2555

Carbohydrate คาร์โบไฮเดรต


Carbohydrate (คาร์โบไฮเดรต)

เป็นสารอาหารที่มี คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน (Carbon, Hydrogen and Oxygen) เป็นองค์ประกอบสำคัญ คาร์โบไฮเดรตที่มีในอาหาร แบ่งเป็น 2 กลุ่ม


พวกที่เป็นน้ำตาล - คาร์โบไฮเดรตที่มีรสหวานและละลายน้ำได้ แบ่งออกได้ 

  1. น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ โมโนแซ็กคาไรด์ Monosaccharide เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ซึ่งร่างกายไม่สามารถย่อยได้อีก สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ตัวอย่างของน้ำตาลชนิดนี้ คือ กลูโคส , ฟรุกโตส , และแกแล็กโตส
    sugar
    • Glucose (กลูโคส) พบในผักและผลไม้ที่มีรสหวาน

    • Fructose (ฟรุกโตส) มีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น พบในน้ำผึ้งและผัก ผลไม้ที่มีรสหวานเช่นกัน

    • Galactose (แกแล็กโตส) พบในน้ำนม

  2. น้ำตาลโมเลกุลคู่ หรือ ไดแซ็กคาไรด์ Disaccharides เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่เกิดจากการรวมตัวของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุล ซึ่งอาจเป็นชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันก็ได้ น้ำตาลชนิดนี้ เมื่อกินเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลาย ให้กลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวก่อน จึงดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ตัวอย่างของน้ำตาลชนิดนี้ คือซูโครส หรือ น้ำตาลทรายมอลโทส และ แล็กโทส (Sucrose , Maltose or Malt Sugar and Lactose)

  3. Sucrose (ซูโครส) พบในผักและผลไม้ เช่น อ้อย ตาล มะพร้าว หัวบีท ฯลฯ Sucrose แตกตัวออกจะได้ Glucose (กลูโคส) และ Fructose (ฟรุกโตส) อย่างละ 1 โมเลกุล

  4. Maltose (มอลโทส) พบใน ข้าวบาร์เลย์ หรือ ข้าวมอลต์ ที่นำมาทำเบียร์ เครื่องดื่มมอลต์ต่างๆ Maltose เมื่อแตกตัวออกจะได้ Glucose (กลูโคส) 2 โมเลกุล

  5. Lactose (แล็กโทส) พบในน้ำนม Lactose เมื่อแตกตัว จะได้ Glucose (กลูโคส) และ Galactose (แกแล็กโตส) อย่างละ 1 โมเลกุล

พวกที่ไม่ใช่น้ำตาล - เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีรสหวาน ละลายน้ำยากหรือไม่ละลายเลย

กลุ่มที่ไม่ใช่น้ำตาลนี้ เกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว หรือ Monosaccharide โมโนแซ็กคาไรด์ จำนวนมาก เกาะรวมตัวกัน เป็นสารที่มีโมเลกุลเชิงซ้อน เรียกว่า Polsaccharide (พอลิแซ็กคาไรด์) ตัวอย่าง ของ Carbohydrate (คาร์โบไฮเดรต) กลุ่มนี้ ได้แก่
Fruit

  1. Flour (แป้ง) เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่พืชเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะ ส่วนของเมล็ด ราก หรือ หัว

  2. Cellulose (เซลลูโลส) เกิดจาก กลูโคส ประมาณ 50,000 โมเลกุล เชื่อมต่อกันเป็นสายยาว ขนานกัน และ มี แรงยึดเหนี่ยวระหว่างสาย จึงมีลักษณะเป็นเส้นใยพบในพืช โครงสร้างส่วนใหญ่ของพืชเป็น เซลลูโลส โดยเฉพาะที่ เปลือก ใบ และเส้นใยที่ปนอยู่ในเนื้อผลไม้

    ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้ แต่จะขับถ่ายออกมาในลักษณะของกาก ที่เรียกว่า เส้นใยอาหาร , เส้นใยอาหาร ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้ขับถ่ายสะดวก พืชประเภทผัก และถั่ว ผลไม้ มีเซลลูโลสอยู่ปริมาณสูง จัดเป็นแหล่งที่ให้เส้นใยอาหาร จึงควรกินเป็นประจำทุกวัน ประมาณ 20 - 36 กรัม ต่อวัน

  3. Glycogen (ไกลโคเจน) เป็นคาร์โบโฮเดรตประเภทแป้ง ที่สะสมอยู่ในร่างกายของคน และ สัตว์ ไม่พบในเซลส์พืช พบมากใน ตับ และ กล้ามเนื้อ บางทีเรียกว่า แป้งสัตว์ มีส่วนประกอบคล้ายแป้ง แต่มีกิ่งก้านมากกว่า เมื่อแตกตัวออกจะได้กลูโคส เมื่อปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดลดลง หรือร่างกายขาดสารอาหาร ตับจะเปลี่ยนไกลโคเจนเป็น Glucose (กลูโคส) เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายต่อไป ไกลโคเจนประกอบ ด้วยกลูโคสประมาณ 10,000-30,000 โมเลกุล
คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารหลัก ที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายนำมาใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่างกายต้องใช้พลังงาน จากคาร์โบไฮเดรต ในแต่ละวันประมาณร้อยละ 50 - 55 ของพลังงานทั้งหมด ที่ได้รับจากอาหาร ดังนั้น การกินอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งให้ได้ปริมาณ 300 - 400 กรัมต่อวัน เป็นปริมาณที่เพียงพอกับปริมาณพลังงาน ที่ร่างกายต้องการ
Continue reading...

1/29/2555

Protein Consumption : โปรตีนแต่ละวัน


ควรทานโปรตีนเท่าไรในแต่ละวัน

อย่างที่รู้ๆ กัน ปัจจุบันนี้การทานให้ครบห้าหมู่กลายเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะคนเมือง ที่มีชีวิตแบบรีบเร่ง อยู่ตลอดเวลา หยวนๆ กินให้อิ่มแล้วรีบไปทำงานกันซะส่วนใหญ่ แถมพอมีเวลาบ้าง ก็ทานตามร้านอาหาร ทางหนึ่งเพื่อเป็นการพักผ่อน พบปะ เพื่อนฝูง อีกทาง บั่นทอนกระเป๋าตังค์แก้เซ็ง

แต่ละคนก็มีความชอบที่ต่างกัน บางคนชอบทานอาหาร กลุ่มคาร์โบไฮเดรต อย่าง ขนมปัง บางคนชอบขนาดที่ว่า ถ้าขนมปังหน้าตาไม่เหมือนกัน ต้องลองชิมเลยว่ารสชาติต่างกันตรงไหน

บ้างก็ทานข้าวแยะมากๆ ไม่งั้นไม่อิ่ม จริงๆ แล้วจะดีกว่า ถ้าเราสามารถจัดสรร กลุ่มอาหารต่างๆ ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับร่างกายเรา เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ยืนยาว

อย่างที่เราเคยเรียนกันมาว่า ควรทานอาหารให้ครบ ห้าหมู่ในแต่ละวัน อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ ฯลฯ แล้วปริมาณที่เหมาะสม สำหรับร่างกายแต่ละคน นั้นควรเป็นปริมาณเท่าใด
protein ,meat
Protein,shrimp

โปรตีน เราต้องการโปรตีนเท่าไร
ร่างกายคนเราต้องการโปรตีน ในการเสริมสร้างการเติบโต พอโตเต็มที่ ก็ใช้ในการซ่อมแซม โปรตีน จึงเป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้เลย แต่บริโภคมาก พานจะอ้วนเกินไปอีก เพราะงั้นปริมาณที่เหมาะๆ สำหรับแต่ละคน เราสามารถคำณวนได้ตามน้ำหนักของแต่ละบุคคลเลย

สูตรหาปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแต่ละวัน
  1. สูตรนี้ใช้น้ำหนักของเราที่เป็นกิโลกรัมแล้วนนำมาคูณกับอัตราคูณ ช่วง 0.8 ถึง 1.8 เพื่อหาปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับร่างกาย (หน่วยเป็นกรัม)
  2. กรณีที่ใช้น้ำหนักหน่วยเป็นปอนด์ ต้องนำน้ำหนักปอนด์ หารด้วย 2.2 เพื่อให้ได้น้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัม แล้วจึงนำไปคำนวณตามข้อ 1
เงื่อนไขการใช้ตัวคูณ 0.8 -1.8 กรัม
  1. ตัวคูณ 0.8 ใช้สำหรับคนสุขภาพปกติ และไม่ได้มีกิจกรรมในวันมาก
  2. ส่วนตัวคูณที่สูงขึ้น เช่น ช่วงระหว่าง 1 ถึง 1.8 ใช้สำหรับผู้ที่มี ความเครียด, กำลังตั้งครรภ์, อยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการเจ็บป่วย หรือ ผู้ที่ออกกำลังกายหนักอย่างสม่ำเสมอ นั่นหมายถึงเป็นผู้ที่มีความต้องการโปรตีนในปริมาณที่สูงกว่า
ตัวอย่าง :
  1. น้ำหนักเป็น ปอนด์ ให้แปลงน้ำหนัก ให้เป็น กิโลกรัม ซะก่อน เช่น น้ำหนัก 154 ปอนด์ (lbs) แปลงตามสูตร ได้ 70 (kgs)
    • 154 lbs / 2.2 = 70 kgs.

  2. การหาปริมาณบริโภคโปรตีน สำหรับ ชายน้ำหนัก 70 กก. ที่ออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก อย่างสม่ำเสมอ จึงต้องใช้ตัวคูณช่วง 1-1.8 ในที่นี้เลือกใช้ 1.5
    • 70 กก. x 1.5 = 105 กรัมต่อวัน

ผลลัพท์คือ ผุ้ชายที่น้ำหนัก 70 กิโลกรัม หรือ 154 ปอนด์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปริมาณบริโภคโปรตีนที่เหมาะสม อยู่ที่ 105 กรัมต่อวัน
Continue reading...

1/28/2555

Botox Effect ผลกระทบจากการฉีด โบท็อกซ์


ผลกระทบจากการฉีด โบท็อกซ์


ในสหรัฐอเมริกา มีการฉีดโบท็อกซ์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการรวบรวมสถิติ และพบว่าการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซินไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่อาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อย ถึง ปานกลาง และมักหายไปใน 1-2 สัปดาห์
และผลข้างเคียงต่างๆ ที่ตามมาหลังจากการฉีด ได้แก่
  • อาจมีอาการปวดศีรษะ หรือ รู้สึกเจ็บๆ คันๆ บางคนอาจมีรอยช้ำ เกิดจาก เข็มฉีดยาแทงทะลุหลอดเลือดแตก ส่วนใหญ่มักเกิดจากการฉีดบริเวณหางตา
  • เกิดอาการคิ้วหรือหนังตาตก ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ฤทธิ์ของโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox), จากเทคนิคการฉีด หรือ จากการที่สารนี้ ไหลไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่ ควบคุมการหดตัวของเปลือกตา
  • อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่
lady from favlens.com ที่สำคัญหลังการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน ไม่ควรบีบนวดบริเวณที่ฉีดยา และไม่ควรนอนภายใน 3 ชั่วโมงหลังฉีด เพราะอาจทำให้ยาไหลไปกล้ามเนื้อมัดอื่น
ค่าใช้จ่ายการฉีดโบท็อกซ์ นั้น ราคาขึ้นอยู่กับปริมาณของสารที่ใช้, สถานพยาบาล และ ประสบการณ์ของแพทย์
อย่างที่ได้กล่าวแต่ต้นว่า โบท็อกซ์ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ ก็มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติ หรือ ใช้ยาที่มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ที่ควบคุมกล้ามเนื้อ แม้ว่าในหญิงมีครรภ์ หรือ ที่กำลังให้นมบุตร ไม่เคยมีรายการว่าเกิดอันตราย แต่ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยง การรักษาด้วยวิธีนี้
การใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน จัดว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี และปลอดภัย หากทำด้วยแพทย์ที่มีความชำนาญ ไม่ว่าเพื่อการรักษาโรค หรือ หรือฉีดเพื่อเสริมความงาม และใช้รักษาในผู้ที่ไม่มีข้อห้ามการใช้ และผู้ที่ได้รับการรักษานั้น ก็สามารถดูแลและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง
Continue reading...

1/24/2555

Sunlight-UVA-UVB แสงแดด กับ UVA UVB



เป็นที่ทราบกันดี ว่า แสงแดด มีความสำคัญในการสร้างวิตามินดี ที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างกระดูก โดยเฉพาะในวัยเด็ก การไม่ได้รับแสงแดดมากพอ อาจทำให้พบปัญหากระดูกอ่อนในวัยเด็ก และกระดูกบางในวัยสูงอายุได้ แต่ทุกสิ่งมีสองด้านเสมอ แสงแดดให้ประโยชน์กับร่างกายมนุษย์เรา ในทางเดียวกัน การได้รับแสงแดด เป็นระยะเวลายาวนาน อาจทำให้ ผิวหนังไหม้แดง ผิวคล้ำและเกิดริ้วรอย

ในแสงแดด มีรังสียูวี ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังอยู่ 2 ชนิด

    แสงแดดในทุ่งทานตะวัน-sunshine and sunflower
  • รังสี UVA มีความยาวคลื่น 320-400 นาโน (nm) ส่องมายังพื้นโลก ด้วยปริมาณที่สูงกว่า UVB ถึง 20 เท่า แต่เนื่องจากมีความยาวคลื่น ที่ยาวกว่า ดังนั้นการทำให้ผิวแดงด้วยรังสี UVA ต้องใช้พลังงานมากกว่า รังสี UVB ถึง 1000 เท่า และ ต้องใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง อย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
  • แต่เพราะ ร้อยละ 30 ของรังสี UVA สามารถส่องผ่านลงไปได้ลึกถึงชั้นหนังแท้ และสามารถส่องผ่านกระจกได้ ไม่ว่าจะยู่ในอาคารหรือในรถ ก็ยังได้รับรังสี UVA

    แม้จะไม่ทำให้ผิวหนังแดง แต่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ เส้นใยอีลาสติน คอลลาเจน และหลอดเลือดได้

    กระบวนการนี้ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ผ่านกลไก ของการอักเสบของหนังแท้ แต่เกิดจากอนุมูลอิสระ หรืออาจกล่าวได้ว่า รังสี UVA อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเกิดมะเร็งผิวหนังจากเม็ดสี Melanoma


  • รังสี UVB มีความยาวคลื่น 290-320 นาโน (nm) คิดเป็นปริมาณประมาณ10% ของแสงแดดทั้งหมดที่ผ่านมายังผืนโลก

  • รังสี UVB มีฤทธิ์ทำลายผิวหนังสูงกว่า รังสี UVA ด้วยเวลาประมาณ 15-30 วินาที รังสี UVB ก็สามารถทำให้ เกิดอาการผิวไหม้แดง




แหล่งข้อมูล:ที่ระลึกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย วาระครอบรอบ 36 ปี
Continue reading...

1/23/2555

Mangosteen juice:น้ำมังคุด เพื่อสุขภาพ


ประโยชน์ของน้ำมังคุด

หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นำเสนอเรื่องผลกระทบจากการบริโภคน้ำมังคุดที่มีต่อสุขภาพ

ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย โดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา หัวหน้าคณะนักวิจัยศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้เปิดเผยว่า

คณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ มังคุดมากว่า 30 ปี จึงขอนำเสนอข้อมูล ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มังคุด


"มังคุด" ผลไม้ไทยที่ได้ชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งผลไม้”

โดยจากการศึกษาวิจัยพบว่า มังคุดสามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยการลดการหลั่งสาร Interleukin I และ Tumor Necrosis Factor ซึ่งตามหลักวิชาของภูมิคุ้มกัน จะทำให้ลดอาการที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ภูมิตัวเองและการอักเสบ เช่น ตับเสื่อม ไตวาย เบาหวาน ตับเสื่อม ข้อเข่าอักเสบ ความดันโลหิต โรคพาร์กินสัน ไทรอยด์เป็นพิษ และความผิดปกติของสมองอันเกิดจากการอักเสบ
“มังคุด” ยังเพิ่มการหลั่งสาร Interleukin II ของเม็ดเลือดขาว ซึ่งตามหลักวิชาของภูมิคุ้มกัน จะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น เชื้อไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือเซลล์มะเร็ง
Mangosteen
ปัจจุบัน “น้ำมังคุด” มีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และ ส่งออกไปจำหน่ายกว่า 10 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป,รัสเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย
ขณะนี้สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตรฯ ร่วมกับ Asian Phytoceuticals Public Company Limited ได้ร่วมกันทำการศึกษาผลของการบริโภคน้ำมังคุด เป็นประจำต่อเนื่องทุกวัน วันละ 300 มล. สำหรับเป็นอาหารของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้าย ซึ่งดำเนินการโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในขณะเดียวกันจะมีการศึกษาควบคู่กันไปในมหาวิทยาลัย ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศ สหรัฐอเมริกา และ ในเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยในประเทศอิตาลี

Continue reading...

1/22/2555

Acne in Teenagers: เรื่องสิว สิว


สิว-มักพบได้บ่อยมากในวัยรุ่น Teenage(Thirteen-nineteen)หรือ ช่วงวัยทีน

sponsored


และเป็นคุณลักษณะที่บอกถึงการเข้าสู่วัยเจริญพันธ์


ช่วงอายุที่เป็นสิวมากที่สุด คือ ช่วงวัยรุ่นตอนกลางจนถึงก่อนเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเต็มตัว

แม้การเป็นสิวไม่ได้เป็นอันตราย แต่กลับส่งผลอย่างมาก ต่อความมั่นใจ บุคลิกภาพ และการเข้าสังคม

ใต้ผิวของเรา มีต่อมขนประกอบด้วยไขมันและเส้นขน ปกติเมื่อต่อมไขมัน ผลิตไขมัน (sebum)แล้วไขมัน จะถูกส่งตามท่อไปเส้นขน แล้วระบายออกทางผิวหนังภายนอก
teenagers
แต่เชื่อว่าการที่ไขมันถูกระบายออกสู่ผิวหนัง ทำหน้าที่ป้องกันการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง ช่วยให้ผิวนุ่มและเนียนเรียบ อีกทั้งมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย เชื้อรา
สิวจึงมักพบมากบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น แผ่นหลัง หนังศีรษะ ใบหน้าบริเวณ ทีโซน และหน้าอก เมื่อสิวหายแล้วอาจมีรอยแดง รอยดำ หรือรอยแผลเป็น

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เป็นสิว

ก็เพราะเกิดการอักเสบของต่อมจน และ การอักเสบของต่อมขนก็มีต้นเหตุจากปัจจัยอื่นต่างๆ ดังนี้
  • เซลล์ที่ขนเกิดการแบ่งตัวมากผิดปกติ ทำให้ไขมัน และ เคราตินจากแบคทีเรีย หรือเรียกอีกอย่างว่า "ขี้ไคล" ถูกปิดกั้นทางออก และสะสมอยู่ในต่อมขน เมื่อไม่สามารถระบายออก จึงเกิดตุ่ม Comedone ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิว
  • ต่อมไขมันผลิตไขมันมากเกินไป และไปสะสมในต่อมขน ทำให้ คอมีโดน Comedone ขยายขนาดมากขึ้น หรือ เกิดการอักเสบที่ตอ่มขนนั้นๆ
  • เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย บริเวณที่เป็นสิว และ เกิดการกระตุ้นให้การอักเสบ ขยายวงกว้าง เป็นตุ่มนูน ตุ่นหนอง เป็นถุงน้ำ (Cysts)
  • การล้างหน้าเป็นการลดความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้ ก็จริง แต่การล้างหน้าบ่อยๆเกินไป หรือ การใช้ ผงขัด,สครับ ด้วยจำนวนครั้งที่ถี่เกินไป อาจกลับกลายเป็นการทำให้เป็นสิว เพราะการขัดลอกผิวหน้า ทำให้ต่อมขนถูกทำลาย อีกทั้ง การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ผสมยาฆ่าเชื้อ (Chlorhexidine และ Triclosan) ไม่สามารถลดจำนวนสิวได้ แต่อาจทำให้เกิดความระคายเคืองและเป็นผื่นได้การล้างหน้าควรล้างอย่างเบามือ และหากเป็นสิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อเจล Gel Based และหลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น Lotion,Oil based
sweet
นอกจากนี้ เรื่องของอาหารก็นับว่ามีความเกี่ยวพันกัน และอาหารที่เชื่อว่า กระตุ้นให้เกิดสิวได้ คือ อาหารที่มีน้ำตาลสูง อย่าง ขนมหวาน,ไอศกรีม, อาหารที่ทำจากแป้งขาว, อาหารจานด่วน, ฟาสต์ฟู้ด, ขนมปังขาว อาหารที่ทำจาก นม, ช็อคโกแลต
ส่วนอาหารที่เชื่อว่าจะช่วยให้อาการเป็นสิวดีขึ้น คือ กรดไขมันโอเมก้า 3, สังกะสี, สารต้านอนุมูลอิสระ,วิตามินเอ และ ไฟเบอร์
Continue reading...

1/16/2555

ป้องกันภาวะอาหารเป็นพิษ-Preventing bacterial food poisoning


การป้องกันการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนจากแบคทีเรีย (Preventing bacterial food poisoning)


เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษและพบบ่อย คือ อี.โคไล, ซัลโมเนลลา, พาราฮีโมไลติคัส, ซัลโมเนลลา, วิบริโอ และ แคมไพโลแบคเตอร์ ซึ่งเชื้อเหล่านี้ มีโอกาสปนเปื้อนเข้าสูอาหาร ในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การปลูก ผู้เตรียมอาหาร และผู้ปรุงอาหาร จนสุดท้ายคือผู้บริโภค


แต่ละปี มีผู้ติดเชื้อจากอาหารเป็นพิษนับแสนๆ ราย ส่วนใหญ่ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และปวดศีรษะ จนถึงขั้นรุนแรง คือ ไตวาย หรือ ติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งสองกรณีหลังทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ปลาทอด
ทุกวันนี้ มีเชื้อโรคนานาชนิด มากมายที่อยู่รอบๆ ตัวเรา และพร้อมจะมาเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ ในอาหารที่เราบริโภคอยู่ทุกวัน พิษจากอาหารเป็นสิ่งที่ เราๆ มักคาดไม่ถึง และอาจไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะป้องกัน หรือ หลีกเลี่ยง ซึ่งหากเรารู้และเข้าใจวิธีป้องกัน เราก็สามารถปลอดภัยจาก แขกไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ได้

ในเนื้อสัตว์

เช่น หมู,เนื้อ,ไก่ อาจพบการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่มซัลโมเนลลา (Salmonella) และ อี.โคไล (Escherichia coli)  ซึ่งเกิดจากขั้นตอน การฆ่า ชำแหละ แปรรูป การขนส่ง และ การปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ ผู้ที่บริโภคอาจได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย
หากในอาหารมีการปนเปื้อนของ เชื้อบาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) ถึงหนึ่งแสนเซลล์ ต่ออาหารหนึ่งกรัม ก็จะแสดงอาการที่รุนแรงและรวดเร็วต่อผู้บริโภคได้
เชื้อคลอสทริเดียม เพอร์ฟรินเจนส์ (Clostridium perfringens) มีคุณสมบัติทนความร้อนในอุณหภูมิสูงๆ และ สำแดงอาการได้ภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ที่ติดเชื้อ มักมีอาการเป็นตะคริวที่ท้อง และ ถ่ายเหลว
เชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) และ สแตฟฟิโลค็อกคัส (Staphylococcus) มักพบในอาหารที่ปรุงไม่สุก
เชื้ออี.โคไล (Escherichia coli) ในแหล่งผลิตและการปรุงที่ไม่ถูกสุขอนามัย
ส่วนเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) มาจากมูลสัตว์ ที่ติดตัวไก่มาในขณะชำแหละ

อาหารทะเล

หากกล่าวถึงการติดเชื้อเพราะอาหารเป็นพิษ มักเกิดกับการบริโภคอาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่ เพราะ กุ้ง,ปู,หอย มักอาศัยอยู่ตามชายฝั่งซึ่งเป็นแหล่งที่มลพิษและเชื้อโรคจากน้ำเสียไหลไปสะสม และ การบริโภคหอยนางรมสดๆ ทำให้ผู้บริโภคติดเชื้อมากที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารทะเลอื่นๆ
somtum-thai salad
เชื้อที่พบได้บ่อยและพบได้ในอาหารทะเลทุกประเภท คือ วิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus) เป็นแบคทีเรียที่สามารถอยู่ในน้ำเค็มได้ และ จะทำอันตรายต่อร่างกายเมื่อได้รับเชื้อมากกว่า หนึ่งแสนเซลล์ต่ออาหารหนึ่งกรัม

อาหารหมักดอง

ผักและหน่อไม้ดอง น้ำจากการดองจะมีภาวะเป็นกรด และอากาศน้อย จึงมักพบแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum) ซึ่งปกติอยู่ในดิน และปนเปื้อนในอาหารจากสุขลักษณะที่ไม่ดีพอ
อาการที่เกิดจากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum) ทำให้มีอาการอาเจียน ปวดท้อง และหายใจขัด ในรายที่รุนแรง มักมีอาการกล้ามเนื้อเกร็ง แขนขาอ่อนแรง และอาจลุกลามไปถึงกล้ามเนื้อในระบบหายใจ ส่งผลให้การหายใจล้มเหลว แบคทีเรียชนิดนี้ จัดเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีพิษรุนแรง จนสามารถพัฒนาเป็นอาวุธชีวภาพได้

ไข่

อาหารหลักอีกชนิดหนึ่ง ได้มีการพบเชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) ที่เปลือกไข่ และเหตุที่เปลือกไข่มีความพรุน จึงมีโอกาสที่เชื้อซัลโมเนลลา Salmonella สามารถผ่านเข้าไปในไข่ขาวและไข่แดงได้

ข้าวที่หุงสุก

ข้าวที่หุงสุกแล้วทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเกินกว่า 6 ชั่วโมง แบคทีเรีย บาซิลลัส (ซีเรียส Bacillus cereus) ซึ่งเป็นเชื้อที่คายสปอร์เป็นพิษ และสามารถทนต่อความร่อนสูง จะเพิ่มจำนวนสปอร์ขึ้นอย่างรวดเร็ว พิษของ บาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) ทำให้ปวดเสียดท้อง คลื่นไส้ และท้องร่วง

ผักสด

การบริโภคผักสดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษ ว่าผักสดได้ผ่านการล้างและทำความสะอาดมาเพียงพอหรือไม่ เพราะโอกาสมีเชื้อซัลโมเนลลา (Salmonella) หรืออี.โคไล (Escherichia coli) จากปุ๋ยในดิน และ ภาชนะที่ปนเปื้อน หรือการปนเปื้อนจากขั้นตอนการจัดเตรียม

ผลไม้

มักมีการปนเปื้อนที่บริเวณเปลือกนอก จากการเก็บเกี่ยวและขนส่ง ซึ่งมักพบเชื้อกลุ่มโคลิฟอร์ม (Coliform) จากสุขลักษณะที่ไม่ดีพอ
Continue reading...

อาหารเป็นพิษ Bateria and Food poisoning


แบคทีเรียตัวการของอาหารเป็นพิษ
Bacteria-a common cause of food poisoning.

การเกิดอาหารเป็นพิษ มีสาเหตุจากเชื้อโรค หลายชนิดและแต่ละชนิด ก็มีอาการใกล้เคียง กันมาก จนอาจแยกไม่ออก วิธีที่ดีที่สุด ควรรีบพบแพทย์เมื่อ เกิดอาการอาหารเป็นพิษ

เมื่อร่างกายได้รับแบคทีเรีย จะสำแดงอาการ ตามฤทธิ์ของแบคทีเรียนั้นๆ

และเชื้อที่เป็นต้นเหตุ ให้เกิดอาหารเป็นพิษ ที่พบได้บ่อย ได้แก่

  1. แคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter)

    พบในเนื้อสัตว์ ที่ปรุงไม่สุก นมสดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ น้ำดื่มที่ไม่สะอาด อาการติดเชื้อที่แสดงคือ มีไข้, ปวดท้อง, อาเจียน, ท้องเสีย แต่มีน้อยรายมาก ที่พบ อาการรุนแรงมากจนระบบประสาทอักเสบ และกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต
    Salmonella bacteria

  2. ซัลโมเนลลา (salmonella)

    - พบในเนื้อสัตว์ปีก และเนื้อดิบ นมสดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ผลไม้สด ผักสด ไข่ดิบ อาการติดเชื้อที่แสดงคือ ท้องเสีย, ปวดเกร็งท้อง, อาเจียน, มีไข้ แต่บางรายอาจมีอาการข้ออักเสบ ซึ่งพบไม่มากนัก

  3. อี.โคไล (Escherichia coli O157:H7)

    - เติบโตได้ง่ายในเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก ผักและผลไม้ที่ไม่ได้ล้าง นมสดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ อาการติดเชื้อที่แสดงคือ ปวดเกร็งท้อง, มีไข้, อาเจียน และอาจรุนแรงจนถึงเกิดภาวะไตวาย โดยเฉพาะหากเกิดการติดเชื้อในเด็ก

  4. สแตฟฟิโลค็อกคัส (Staphylococcus)

    ออกฤทธิ์ได้เร็วและรุนแรง เพียงไม่ถึง 1 ไมโครกรัม ของการได้รับเชื้อ สแตฟฟิโลค็อกคัส ก็จะสำแดงอาการ มักพบในอาหาร ซึ่งเกิดจากขั้นตอน การฆ่า ชำแหละ แปรรูป การขนส่ง และ การปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบและนำมาปรุงไม่สุก อาการติดเชื้อที่แสดงคือ คลื่นไส้, อาเจียน, วิงเวียน, ตะคริวที่ท้อง ในรายที่รุนแรงจะมีอาการอื่นแทรก ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง จนถึงชีพจรเต้นผิดปกติ
    sausage

  5. วิบริโอ พาราฮีโมไลติคัส (Vibrio parahaemolyticus)

    สามารถอาศัยอยู่ในน้ำเค็ม พบในอาหารทะเลกลุ่มที่มีเปลือก เช่น กุ้ง หอย ปู อาการติดเชื้อที่แสดงคือ ถ่ายเหลว, อาเจียน, มีไข้ ผลของเชื้อในระยะยาว ทำให้ข้ออักเสบ

  6. คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum)

    พบในอาหารกระป๋อง หน่อไม้ปี๊บ อาหารดองต่างๆ เพราะ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม สามารถอาศัยได้ในที่ขาดอากาศ จัดเป็นแบคทีเรียที่มีพิษรุนแรง อาการติดเชื้อที่แสดงคือ อาเจียน, หายใจขัด ฤทธิ์ ของคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ดังนั้น ในรายที่มีอาการรุนแรง พิษจะเข้าไปทำลายระบบประสาท กล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ การหายใจล้มเหลว

เรื่องของอาหารเป็นพิษ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมองข้ามได้เลย หากเรารู้และเข้าใจว่า สาเหตุอะไรบ้าง ที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ เพื่อที่เราจะสามารถหลีกเลี่ยง และป้องกัน ไม่ให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษ กับตัวเราและครอบครัว

Continue reading...

1/13/2555

Vitamin E benefit วิตามินอีดีอย่างไร


วิตามินอี Vitamin E

เป็น วิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายในไขมัน และมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ และ เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลาย
sponsored

วิตามินอี เป็นตัว Antioxidant คือเป็นตัวการทำให้เกิดการเผาผลาญโดยใช้ ออกซิเจน ทำให้ร่างเผาผลาญได้ดี, ช่วยการสร้างเลือด ขยายเส้นเลือด ลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวกับสมองและหัวใจเพราะวิตามินอี

และช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด ลดการจับตัวเป็นลิ่มเลือด,บำรุงตับ,ช่วยเซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ตามปกติ,ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และ ช่วยสมานแผล เช่นแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น


วิตามินอี Vitamin E เป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์กับร่างกายและหากเกิดภาวะ การขาดวิตามินอี จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เพราะวิตามินอี ทำหน้าที่เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant


การขาดวิตามินอี ทำให้สารที่เข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเข้าไปจับตัวและทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือด ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เมื่อร่างกายมีปัญหาในการดูดซึมไขมัน จึงส่งผลให้เกิดก้อนเลือด หรือภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจ อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาท และเป็นโรคโลหิตจางได้ ฯลฯ


การรับประทานวิตามินอี เป็นอาหารเสริมในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง และสามารถกำจัดการติดเชื้อต่างๆ และผลของการเพิ่มขึ้น ของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งเกิดจากวิตามินอี มีผลดีต่อผู้ที่ประสบกับภาวการณ์ดูดซึมในร่างกายผิดปกติ

นอกจากนี้วิตามินอียังช่วยป้องกันผลกระทบ จากความผิดปกติของฮอร์โมน จากต่อมหมวกไต ที่มากจนเกินไปซึ่งถูกปล่อยออกมาระหว่างที่ร่างกายเกิดความเครียด

ในขณะที่วิตามินอีมีประโยชน์มากมายหลายประการ แต่ถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป อาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว กล้ามเนื้อล้า แน่นท้อง และท้องร่วง

แหล่งอาหารที่มีวิตามินอี

  • กลุ่มธัญพืช เช่น จมูกข้าวสาลี
  • ถั่วเปลือกแข็ง เช่น เมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดมะม่วงหิมพานต์
  • น้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันเมล็ดผ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง
  • กลุ่มผักผลไม้ เช่น กะหล่ำปลี มันเทศ อโวคาโด ผักปวยเล้ง
Continue reading...

1/12/2555

Botox : โบท็อกซ์เพื่อหน้าเรียว


โบท็อกซ์ ทำให้หน้าเรียว


หรือชื่อทางการค้า "โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ" Botulinum Toxin A เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งสร้างจากแบคทีเรีย คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม Clostridium botulinum

beautiful face






เชื่อหรือไม่ว่า
คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม Clostridium botulinum
เป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ หากได้รับเชื้อในปริมาณมากๆ จากอาหารที่ปนเปื้อน

และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อันเนื่องมาจากกล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ส่งผลให้ผู้ป่วยหยุดหายใจ หรือ เรียกได้ว่า Botulinum Toxin มีฤทธิ์เป็นสารพิษ แค่เห็นคำว่า ท็อกซิน Toxin ก็น่าจะเดาได้ว่าเป็นพิษแน่

แต่หากเราศึกษาย้อนไปในอดีตมีการใช้เชื้อโรคที่ทำให้อ่อนกำลังลง หรือ ใช้สารเคมี ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์ของร่างกาย ให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ มากมายเลย เช่น การปลูกฝี การฉีดวัคซีน BCG เพื่อป้องกันวัณโรค หรือ การใช้เคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
แต่เดิมทางการแพทย์ ใช้ Botulinum Toxin ในการรักษาภาวะผิดปกติที่เกิดจาก กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป เช่น อาการตาเหล่ ตาเข หนังตากระตุก หรือ คงเอียงจากกล้ามเนื้อหด เกร็งตัว และด้วยความบังเอิญ จากการฉีดรักษาที่บริเวณรอบดวงตา ทำให้แพทย์สังเกตพบว่าริ้วรอยบริเวณ ใบหน้า หน้าผาก หว่างคิ้ว รอบดวงตาดีขึ้น


Botox

ดังนั้น ต่อมาได้มีการใช้ โบทูลินั่ม ท็อกซิน ให้เกิดประโยชน์ในด้านความสวยงาม โดยการฉีดเพื่อยกกระชับผิวหนัง และทำให้ใบหน้าให้เรียวลง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และตลอดจนรักษาอาการปวดศรีษะแบบไมเกรน ฯลฯ
การออกฤทธิ์ ของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือ โบท็อกซ์ โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท ผลคือกล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ หรือเกิดการอัมพาตของกล้ามเนื้อ โดยจะเกิดผลเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ได้รับการฉีด ซึ่งออกฤทธิ์ ภายใน 2-3 วัน เห็นผลสูงสุด 1-2 สัปดาห์ และมีฤทธิ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ หดตัว กลับมาเหมือนเดิม

เพราะฤทธิ์ที่ไม่ถาวร นี่เอง ทำให้ผู้ที่ใช้ โบท็อกซ์ ต้องได้รับการรักษาซ้ำ หากต้องการคงสภาพ

credit : ศ นพ. วรพงษ์ มนัสเกียรติ ศูนย์เลเซอร์และศัลยกรรมผิวหนัง
Continue reading...

1/10/2555

Growth-Hormone คืออะไร


Growth Hormone

หรืออาจเรียกได้ว่า Peptide Hormone มีความสำคัญสำหรับร่างกายมากมาย มีความสำคัญต่อชีวิต การเจริญเติบโต ความแข็งแรง รวมถึง ความสดชื่นของร่างกายเรา
sponsored

Growth Hormone คือ ฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมพิทูทารี ในสมอง มีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโต ตั้งแต่เกิดจนถึง ช่วงอายุ 18-22 ปี ซึ่งเป็นช่วงของร่างกายที่เจริญเติบโตเต็มที่ โกร๊ธฮอร์โมน ก็ค่อยๆ หลั่งน้อยลงเรื่อยๆ  จนถึงช่วงวัยสูงอายุ โกร๊ธฮอร์โมนอาจจะลดลงจนถึงไม่หลั่งเลย

ผลของการที่ Growth Hormone หลั่งน้อยลง ทำให้เริ่มมี ร่างกายเสื่อมถอยลง ตามอายุที่มากขึ้น ผมหงอก ผมร่วง ผิวย่น หน้าไม่ตึง ท้องยื่น พุงป่อง หรือลักษณะอื่นๆ ที่ฟ้องว่าวัยชรากำลังครอบครองร่างกายแล้ว

แล้วถ้าหาก เราสามารถหาทางให้ร่างกายหลั่ง Growth Hormone อยู่เสมอ ร่างกายเราคงลืมความแก่ และคงอยู่กับความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อย่างยาวนาน


Growth hormone make you young

Growth Hormone จะหลั่งได้ด้วยปัจจัยและเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสร้างได้ไม่ยากเลย คือ


  • เมื่อหลับสนิท

  • การนอนหลับให้สนิทและนานเพียงพอ ทำให้ร่างกายหลั่ง growth hormone ออกมาอย่างเต็มที่ ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และ ทำให้สุขภาพดี Growth Hormone จะหลั่งได้สูงสุดคือช่วงหลับลึก Deep Sleep ว่ากันว่าหลังนอนหลับราว 90 นาทีแรก เป็นช่วงที่ Growth Hormone มีความเข้มข้นที่สุด


  • เมื่อออกกำลังกายเต็มที่ หรือ Peak Output

  • จุดมุ่งหมายของการออกกำลังกายที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ เพื่อให้ Growth Hormone หลั่ง แต่มีข้อแม้ว่า ต้องออกกำลังกายหรือบริหารให้ถึงจุด Peak คือเหงื่อโทรามกาย หัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้นช่วง 100-120 ครั้งต่อนาที
    Continue reading...

    1/06/2555

    Berries benefit ประโยชน์ของเบอร์รี่ เบอร์รี่



    Berries เบอร์รี่

    พืชตระกูลเบอร์รี่ มีมากมายหลายพันธุ์ และประโยชน์ของเบอร์รี่ก็มีมากมายเหมือนสายพันธุ์เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ให้ความสนใจเน้นไปในเรื่อง ประโยชน์ของ "ดวงตา" มากที่สุด


    ผลไม้สายพันธุ์เบอร์รี่ Berries มีหลายหลายมากมายจริงๆ และมักเป็นผลไม้ที่ชอบอากาศหนาวเย็น

    แต่ปัจจุบัน โลกแคบลง การหามาบริโภคเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจึงเป็นเรืองไม่ยาก นอกจากผลไม้จากธรรมชาติ ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกมากมายที่ช่วยให้การรักษาสุขภาพง่ายขึ้น

    เรามารู้จักพี่น้องเบอร์รี่ทั้งหลายดีกว่า

    berries

    เริ่มกันที่ Strawberry สตอว์เบอร์รี่ ผลไม้รสชาติเปรี้ยวอมหวาน รูปร่างหัวใจสีแดงสดใส เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ว่ากันว่าป้องกันโรคหวัดได้ ถ้าทานทุกวัน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก และมีพลังงานต่ำ ทำให้ร่างกายสดชื่น
    berries

    สายพันธ์เบอร์รี่ อีกชนิดที่เป็นที่รู้จักกันอีกคือบลูเบอร์รี่ Blueberry ผลไม้สีน้ำเงินเข้ม จากการวิจัยพบว่า บลูเบอร์รี่ ช่วยบำรุงร่างกายชะลอความเสื่อมและช่วยให้ความจำดีขึ้นในคนสูงอายุ มีใยอาหารในปริมาณที่สูง
    โดยเฉพาะเพคติน ที่ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยให้เส้นเลือดผอยแข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และ ด้วยความที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ ช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือดดีขึ้น จึงมีส่วนเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศของชายสูงวัยได้
    ราสเบอร์รี่ Raspberry หนึ่งในพี่น้องเบอร์รี่ที่มีสีแดงสด เป็นเบอร์รี่ที่มีสารต้านอนุมูอิสระที่สูงมาก ช่วยป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และสารสีแดงใน Raspberry อุดมด้วยวิตามิน เอ บี และ ซี ที่ช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวพรรณสดใส นอกจากนี้ ยังมี โปแตสเซียม และ ไบโอฟลาโวนอยด์ หรือวิตามินเค ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และ แมงกานิส ที่มีส่วนช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

    Blackberry แบล็คเบอร์รี่ ชื่อนี้คงมาจากความที่มีผิวสีน้ำเงินเข้มจนอาจมองเห็นเป็นสีดำ ใน Blackberry มีกรดฟิโนลิค วิตามินซี และโฟเลตสูง มีฤทธิ์ ช่วยฟื้นฟูคอลลาเจน ช่วยให้ผิวหนังไม่หย่อนยานก่อนวัยอันควร และ สารซาลิไซเลตใน แบล็คเบอร์รี่ ช่วยในเรื่องการขับถ่าย และ ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้

    แครนเบอร์รี่ Cranberry เบอร์รี่พันธุ์นี้ ก็มีสารต้านอนุมูลอิสรในปริมาณสูงเช่นกัน จึงมีฤทธิ์เป็นตัวต้านความเสื่อมที่เกิดกับเซลส์ในร่างกาย ช่วยบำรุงหัวใจ และ ลดการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

    และเบอร์รี่อื่นๆ เช่น แบล็คเคอร์แรนท์ blackcurrant เบอร์รี่ ที่มีคุณสมบัติ ช่วยในการมองเห็นในเวลากลางคืนที่มีแสงน้อย
    บิลเบอร์รี่ Bilberry ผลไม้สีม่วง เอวเดอร์เบอร์รี่ Elderberry และอะซาอิเบอร์รี่ Acai berry ช่วยบำรุงสายตาและการมองเห็น และป้องกันการเสื่อมของจอประสาทตา หรือ โชคเบอร์รี่ Choke-berry ช่วยให้การไหลเวียนของเลือด ช่วยปกป้องหลอดเลือด
    การงานวิจัยค้นพบว่าคุณสมบัติที่สำคัญของเบอร์รี่ Berries ล้วนมีต่อดวงตาเป็นส่วนใหญ่ เช่น ช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา เพราะสารแอนโธไซยานินใน นั้นนับว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีผลต่อดวงตาโดยตรง ช่วยคลายความเหนือยล้าของดวงตา ชลอการเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยในการมองเห็นในเวลากลางคืนที่มีแสงน้อย ทำให้การไหลเวียนของเลือดในดวงตาลดการเกิดเส้นเลือดฝอยที่ผิดปกติในจอตา ที่ทำให้มองภาพไม่ชัดเจน ป้องกันการเกิดต้อกระจก
    Continue reading...
     

    To live healthy Copyright © 2009 Cosmetic Girl Designed by Ipietoon | In Collaboration with FIFA
    Girl Illustration Copyrighted to Dapino Colada