12/30/2555

จะเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างไร


การเลือกซื้อเครื่องสำอาง


เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องสำอาง
ตามที่องค์การอาหารยาให้คำแนะนำไว้มีดังนี้

  1. อย่าซื้อตามคนอื่น หรือเพราะคำแนะนำ ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับผิวตนเอง หากได้ทดสอบก่อนใช้ก็ดี ซึ่งอาจเป็นสินค้าตัวอย่าง ให้ทดลองทาที่ท้องแขนหรือหลังใบหู เช้า-เย็น โดยไม่ต้องเช็ดออก ประมาณ 5-7 วัน ถ้าไม่มีอาการแดง คัน หรือผื่นแพ้ ก็สามารถลองใช้กับใบหน้าได้

  2. ให้ความใส่ใจกับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางที่ไม่ทราบแห่งผลิตที่ชัดเจน เพราะอาจได้เครื่องสำอางปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน

  3. การซื้อแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องซื้อขนาดใหญ่หรือปริมาณมาก เนื่องจากบางครั้งอาจเป็นการฝากซื้อจากต่างประเทศซึ่งราคาถูกกว่าการซื้อที่เมืองไทย การซื้อปริมาณมากๆ อาจทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพถ้าเก็บดูแลไม่ดีพอ หรือถ้าเครื่องสำอางมีขนาดใหญ่มากเมื่อเปิดใช้นานไป อาจมีเชื้อโรคปนระหว่างการใช้

  4. ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางเก่า มีสี กลิ่น หรือ ความข้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

  5. ให้สังเกต ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอางต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด หรือ แตก เพราะอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนได้

  6. ป้ายฉลากเครื่องสำอาง ควรอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ฉีกขาด มีข้อความและรายละเอียดชัดเจน เช่น ชื่อ ชนิดเครื่องสำอาง ชื่อที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และวันที่หมดอายุ ปริมาณสุทธิ วิธีใช้ และคำเตือนในการใช้

  7. ถ้าสงสัยว่าเครื่องสำอางที่สนใจนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซต์ ขององค์การอาหารและยา www.oryor.com หรือ เวปไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนัง www.dst.or.th

Credit:
หนังสือที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย ผศ. พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/14/2555

แพ้เครื่องสำอางหรือไม่ รู้ได้อย่างไร


ในยุคที่ความสวยยอมกันไม่ได้ คงแทบไม่มีใครเลยที่ไม่เคยใช้เครื่องสำอาง แต่ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า เครื่องสำอาง ก็คือ วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา,ถู,นวด,พ่น,หยอด,ใส่,อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งต่อร่างกายเพื่อความสะอาด, ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม เพราะงั้น ไม่ว่าจะไนท์ครีม, บอดี้โลชั่น, ลิปบาล์ม ก็รวมเป็นเครื่องสำอางทั้งนั้น ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือสวยขึ้น หล่อขึ้น และ ดูดีขึ้น


เมื่อเครื่องสำอางอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจำหน่ายมีมากมายเยอะแยะ ซึ่งก่อนใช้นั้นน่ะเราจะจินตนาการไว้เริ่ดหรู ตามคำพีอาร์ของแต่ละแบรนด์

มีหลายคนก็บอกว่าก่อนซื้อให้ทดลองทาผิวที่ท้องแขนทิ้งไว้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางจะยังไม่เกิดทันทีที่เริ่มใช้ แต่มักจะค่อยๆ เป็น จนไม่ทันสังเกตว่าจะแพ้ เพราะกว่าจะเป็นเครื่องสำอางแล้วมาขายมีขั้นตอนทดสอบหรือทดลองใช้กันมาบ้างแล้ว

อาการที่สงสัยได้เลยว่าอาจแพ้เครื่องสำอางเข้าแล้ว

natural-looking makeup
  • อาการปวดแสบ ปวดร้อน มีอาการคันหรือรู้สึกว่าคันยิบๆ
  • มีผื่นแดงคัน ถ้าหากแพ้มาก อาจเป็นตุ่มแดง, ตุ่มน้ำ, ผิวเป็นขุย
  • มีผื่นแดงบวม แบบลมพิษ
  • มีผื่นดำ ผิวหมองคล้ำ
  • หน้าเริ่มเป็นรอยด่าง
  • มีเม็ดผดเล็กๆ ไม่คัน ลักษณะคล้ายสิวเม็ดเล็ก
เมื่อไรก็ตามที่คุณมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที หากมีอาการดีขึ้น ก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ประเภทของเครื่องสำอางที่มักทำให้เกิดผลข้างเคียง

  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงข้างเคียงสูง
    1. น้ำยายืดผม
    2. ครีมที่ทำให้ผิวขาว
    3. ครีมรักษาฝ้า
    4. น้ำยาหรือครีมขจัดขน
  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง
    1. น้ำยาดัดผม, น้ำยาย้อมผม, ครีมบำรุงผม
    2. มาสก์หน้า, ครีมแก้สิว
    3. ลิปสติก, ครีมรองพื้น, ครีมกันแดด
    4. ยาระงับกลิ่นเหงื่อ หรือยาลดเหงื่อ
    5. น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
ส่วนหนึ่งก็คือเครื่องสำอางเหล่านี้ มีสารที่เป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เช่น  ใส่สารเคมีกันบูดเช่น พาราเบน, ฟอร์มัลดีไฮต์, สารพาราเฟนนีลีนไดเอมีน ที่ใส่ในยาย้อมผม, สารลาโนลินหรือไขแกะที่เป็นตัวทำเนื้อครีมหรือโลชั่น, ใส่น้ำหอมเพื่อให้เครื่องสำอางมีกลิ่นหอมน่าใช้ และช่วยกลบกลิ่นสารกันบูดที่ใส่ในเครื่องสำอาง



credit:
ที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/04/2555

สารอาหารรักษาสิว


สิวเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่อมไขมัน โดยจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง หากอักเสบเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นหัวหนอง และสิวหัวช้างในที่สุด เรื่องสิวไม่ใช่เรื่องจิ๋วจิ๋ว


การอักเสบของสิวจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง เช่น ช่วงมีประจำเดือน, การอดนอน, ภาวะเครียด

ดังนั้นการป้องกันการเกิดสิวที่ดีที่สุดคือเราต้องปรับสภาพร่างกายให้สมดุล
ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
รับประทานผักผลไม้ให้มาก
อาหารที่ดีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย,
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว, ระวังไม่ให้เกิดการท้องผูก,
ออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค, ลดความเครียดด้วยการเล่นดนตรี, ฟังเพลง หรือ ฝึกสมาธิเพื่อฝึกควบคุมจิตใจ, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี, ดื่่มสุรา หรือสารเสพติด

สารอาหารรักษาสิว

  1. อาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสี ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส, ลดการอักเสบ และการติดเชื้อของสิว ทั้งยังช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น โดยการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไป

    จริงอยู่ว่าสังกะสีให้ผลบวกในการลดสิว แต่หากร่างกายรับสังกะสีในปริมาณที่มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อวัน(ในผู้ใหญ่) ก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้เช่นกัน อาหารที่มีธาตุสังกะสี คือ หอยนางรม, ปู, นม, โยเกิร์ต, ถั่ว, ชีส, ปลา, เมล็ดฟักทองและเมล็ดทานตะวัน

  2. Milk and Cheese
  3. แร่ธาตุอย่าง วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี และ สารเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ แร่ธาตุในผักผลไม้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการเป็นสิวได้เป็นอย่างดี และคลอโรฟิลล์ในผักสีเขียวก็ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกากใยอาหารจากพืชผักสีเขียว(Dietrary Fiber)ก็ช่วยป้องกันเรื่องท้องผูกได้อีกต่างหาก

    • วิตามินเอลดการอักเสบของสิวและลบรอยด่างดำจากสิว วิตามินเอมีมากใน ตำลึง, บร็อคโคลี, ยอดชะอม, คะน้า กะหล่ำเขียว, ผักโขม, ผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม เช่น ฟักทอง, มะม่วง, แคนตาลูป, มะละกอสุก และใน ตับ และนม

    • Fruits
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจึงช่วยลดริ้วรอย และลดรอยด่างดำจากสิว วิตามินซีมีมากในผลไม้ เช่น ส้ม, มะเขือป้อม, สัปปะรด, ฝรั่ง, สตอร์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, กีวี, มะละกอ, มะม่วง, องุ่น, ลูกพลัมลูกพรุน หรือ ผักใบเขียว เช่น คะน้า, พริกแดง, พริกเขียว, ผักตระกูลกะหล่ำ, บร็อคโคลี, มะเขือเทศ, ผักโขมฯลฯ

    • วิตามินอีมีคุณสมบัติในการลบริ้วรอยจากสิว เราได้วิตามินอีจากน้ำมันที่ได้จากธัญพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย และถั่วเปลือกแข็ง อย่าง อัลมอนต์ หรือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์


  4. แร่ธาตุโครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน เพื่อช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ ร่างกายต้องการโครเมียมในปริมาณที่น้อยมากคือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องหาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

    โครเมียมจะถูกดูดซึมได้ดีเมื่อทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซี แต่ปริมาณที่สูงเกินไปของโครเมียมอาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc)เช่นกัน พบได้ใน ยีสต์ (Brewer’s yeast) เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล

  5. Bread and Egg
  6. ซีลีเนียมสามารถป้องกันกัมมันตภาพรังสีรวมทั้งโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น ปรอท เงิน แคดเมียม แทลเลียม (thallium) ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายและขับถ่ายออกได้เร็วขึ้น และเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ยังช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อต่างๆและชลอการเสื่อมของเซลล์ หรือคุณสมบัติที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการเกิดสิว

    อาหารที่มีซีลิเนียมมากที่สุดได้แก่ ไข่, เครื่องในสัตว์และเนื้อสัตว์, ปลา,หอย และข้าวที่ไม่ขัดสี, ซีเรียล และผลิตภัณฑ์นม นอกจากนี้ยังได้จากระเทียม เห็ด บร็อคโคลี หัวหอม มะเขือเทศ

  7. กรดไขมันโอเมก้า 3กรดไขมันที่ช่วยเรื่องหัวใจและการทำงานของสมอง, ลดการอักเสบในระดับเซลล์ และช่วยในการผลัดเซลล์ผิว จึงช่วยลดรอยด่างดำจากสิวให้จางลง มีมากในอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอล, ปลาทูน่า, นอกจากนี้ก็มีในน้ำมันวอลนัท,น้ำมันคาโนลา

    แต่เพราะ Omega3 จะสลายตัวได้ง่ายในอุณหภูมิสูง เช่น การน้ำอาหารไปทอด ถ้าหากต้องการให้สารอาหารยังคงอยู่ในอาหาร ควรปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม แกงหรือ ยำ
Continue reading...
 

To live healthy Copyright © 2009 Cosmetic Girl Designed by Ipietoon | In Collaboration with FIFA
Girl Illustration Copyrighted to Dapino Colada