น้ำมันมะกอกมักนิยมใช้ปรุงอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำมันมะกอกช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดเลวให้อยู่ในระดับต่ำ และส่งผลดีต่อหัวใจ
และยังมีผลจากการศึกษาเรื่องน้ำมันมะกอกที่ฟิลาเดลเฟีย ได้บ่งชี้ว่าสารประกอบในน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธ์ยังออกฤทธิ์คล้าย ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์ เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน แต่ไม่ส่งผลข้างเคียงเหมือนแอสไพรินที่กัดกระเพาะอาหาร แต่การจะบริโภคน้ำมันมะกอกเพื่อแก้อาการปวดหัว คุณอาจต้องดื่มมากถึง 500 มิลลิลิตร
เพราะปัจจุบันเชื่อกันว่าการอักเสบมีอิทธิพลต่อโรคหลอดเลือดต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด และ โรคหลงลืมในผู้สูงอายุ ซึ่งนั่นเป็นการอธิบายว่า อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกจะช่วยป้องกันโรคเหล่านี้ได้
ในขณะที่น้ำมันมะกอกมีข้อดีอยู่มากมาย แต่การเลือกใช้ก็นับว่าสำคัญมากเช่นกัน น้ำมันมะกอกที่จำหน่ายตามซุปเปอรมาร์เก็ต จะพบว่ามีอยู่หลายชนิด
- น้ำมันมะกอกแบบ Extra Light เหมาะกับอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด
- Pure Olive Oil เหมาะกับการผัดหรือการปรุงอาหารที่ใช้เวลาไม่นาน
- Extra Virgin Olive Oil หรือถ้ามีระบุว่า First Cold Press (บีบเย็น) เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมของน้ำสลัด หรือทานกับผักสดโดยไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน และน้ำมันมะกอกที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบ Cold Press เป็นน้ำมันมะกอกที่มีกลิ่นหอม แต่ห้ามไปถูกความร้อนเด็ดขาด
นอกจากการใช้ในการปรุงอาหาร น้ำมันมะกอกยังถูกนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง, ยา และสบู่ รวมถึงเป็นเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันโคมไฟแบบดั้งเดิม
เครดิต :
วิกิพีเดีย
สรรสาระ reader's digest
สรรสาระ reader's digest
0 comments:
แสดงความคิดเห็น