7/30/2556

โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis


โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)

สาเหตุที่โรคผิวหนังชนิดนี้ถูกเรียกว่า สะเก็ดเงิน เกิดจากลักษณะของผื่นที่ มักจะมี "ขุย" หรือ "สะเก็ด" เป็นสีขาว ถ้ามีสะเก็ดหนามากจะดูวาว ๆ เมื่ออยู่กลางแจ้งที่มีแสงแดด จะเห็นรอยผื่นเป็นสีเงิน

ผื่นของสะเก็ดเงินขึ้นได้ทุกแห่งทั่วร่างกาย เป็นได้หลายรูปแบบ ที่พบบ่อย คือ ผิวหนังอักเสบเป็นปื้นแดง (Erythematous plaque) และมักซ่อนอยู่บริเวณผิวหนัง ที่ไม่ได้รับแสงแดดเป็นประจำ หรือบริเวณที่มีการกระทบ เสียดสี หรือ กดทับ เช่น ข้อศอก หัวเข่า หลังส่วนล่าง และหนังศรีษะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเสื้อผ้า หรือ ผมปกคลุมอยู่ อาจพบการขึ้นที่เล็บในผู้ป่วยบางคน และ สะเก็ดเงินที่เล็บก็มีหลายลักษณะ ขึ้นอยู่ว่าเกิดตรงส่วนใดของเล็บ ซึ่งอาจพบว่า เล็บเป็นหลุมๆ ขนาดเล็ก

โรคสะเก็ดเงิน เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ได้เกิดจากสาเหตุุเดียว ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค, สารเคมี หรือ สภาวะทางฟิสิกส์ที่เป็นพิษต่อผิวหนังโดยตรงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากพันธุกรรมหรือ ยีนส์ที่ผิดปกติหลายชนิดร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่ไม่เหมาะสมมากระตุ้นให้โรคปรากฏขึ้น

ด้วยความที่โรค สะเก็ดเงิน นี้ เห็นได้ชัดเจน ทำให้หลายๆ คนกลัว แต่อันที่จริงแล้ว โรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ เพราะการเป็นสะเก็ดเงิน ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ดังนั้นการใช้ชีวิตในบ้านเดียวกัน การท่องเที่ยวด้วยกัน, การทานน้ำแก้วเดียวกัน ทำงานในออฟฟิสเดียวกัน หรือว่ายน้ำในสระเดียวกัน กับผู้ที่เป็นสะเก็ดเงิน ก็ไม่มีผลให้เป็นสะเก็ดเงินได้

ผู้ป่วยสะเก็ดเงินอาจมีอาการทางข้อร่วมด้วย เหมือนการเป็นผื่นผิวหนังอื่นๆ และอาการเริ่มแรก ของข้ออักเสบสะเก็ดเงิน คือ มีอาการตึง หรือ ข้อแข็งตอนตื่นนอนตอนเช้า (Morning Stiffness) มีอาการปวดข้อ, ข้อติด, บวมและปวดรอบข้อ การเคลื่อนไหวของข้อลดลง, มีการเปลี่ยนแปลงที่เล็บ, เยื่อบุตาอักเสบ, ตาแดง และข้ออักเสบที่พบบ่อย คือ ข้อมือ ข้อเข่า ข้อเท้า

ลักษณะของข้ออักเสบที่พบบ่อยมีด้วยกัน 5 ลักษณะดังนี้
  1. Symmetric Arthritis
    หมายถึงการอักเสบของข้อที่เป็นเหมือนกันทั้งสองข้าง เป็นหลายข้อ อาการเหมือนกับโรค rheumatoid ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยข้ออักเสบจะเป็นมากขึ้นจนกระทั่งพิการ
  2. Asymmetric Arthritis
    ข้อที่อักเสบมักเป็น 1-3 ข้อเป็นด้านใดด้านหนึ่งมักเป็นข้อใหญ่เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อเท้า ข้อมือ บางรายอาจจะเป็นที่นิ้วมือ
  3. Distal Interphalangeal Predominant (DIP) เป็นข้อที่ติดกับเล็บมักจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เล็บร่วมด้วย
  4. Spondylitis มีการอักเสบของกระดูกสันหลังทำให้มีอาการข้อติดของคอ หลังและกระดูกสะโพก ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวแล้วปวด
  5. Arthritis Mutilans มักเป็นข้อเล็กและมีการทำลายของข้อทำให้ข้อผิดรูป

ชนิดของสะเก็ดเงินสามารถแบ่งตามลักษณะผื่นดังนี้

  1. Plaque
    โรคสะเก็ดเงินชนิดนี้พบบ่อยที่สุด ลักษณะจะเป็นผิวหนังที่มีผื่นแดง นูนหนามีขอบชัดเจน บนผื่นจะมีสะเก็ดขาวเหมือนเงินอยู่บนผื่น สะเก็ดนี้เป็นเซลล์ผิวหนังซึ่งตายแล้ว ผิวหนังบริเวณผื่นมักจะแห้ง คัน และเกิดเป็นแผลได้ง่ายแพทย์เรียกชนิดนี้ว่า psoriasis vulgaris
  2. Guttatee
    ลักษณะผื่นจะเหมือนรูปหยดน้ำเล็กๆเป็นหยดๆสีแดง ผื่นนี้จะพบมากบริเวณลำตัวและแขนขา ผื่นจะไม่หนาเหมือนกับชนิด plaque มักจะพบในเด็กและวัยรุ่น โดยมีการติดเชื้อของผิวหนังเป็นตัวกระตุ้น
  3. Inverse
    สะเก็ดเงินชนิดนี้มักจะพบในคนอ้วนที่มีเหงื่อออกมาก และมีการระคายเคืองเราอาจจะเรียกว่า Inverse psoriasis, หรือflexural psoriasis มักพบบริเวณข้อพับเช่นขาหนีบ รักแร้ เต้านม ก้นลักษณะผื่นจะราบเรียบมีการอักเสบแดง ผิวแห้ง ไม่มีขุยและหนาตัวเหมือนชนิดplaque
  4. Erythrodermic
    เป็นการอักเสบของสะเก็ดเงินเป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงินที่ผื่นสะเก็ดเงินหลุดง่าย ผื่นชนิดนี้จะมีลักษณะแดงกระจายไปทั่ว และมักจะมีอาการบวมปวด และคันร่วมด้วย
  5. Generalized Pustular
    ผื่นสะเก็ดเงินจะแดงทั่วไปมีอาการบวม และปวดจะมีตุ่มหนองเกิดขึ้นตุ่มหนองนี้มิใช่เกิดจากการติดเชื้อ เมื่อแผลแห้งแล้วก็กลับมาเป็นหนองได้อีกเรียกว่าZumbusch pustular psoriasis
  6. Localized Pustular
    เป็นตุ่มหนองที่เกิดเฉพาะบริเวณมือและเท้า จะมีลักษณะเป็นตุ่มหนองขนาดครึ่งเซนติเมตรอยู่บนผื่นที่มือ และเท้า

สิ่งที่พึงระวังสำหรับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน

  • ไม่ควรสูบบุหรี่
  • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะอาจส่งผลให้สะเก็ดเงิน เห่อ มากขึ้น
  • พึงหลีกเลี่ยงการซื้อยามาทานเอง เพราะยาหม้อ ยาจีน บางชนิดมีส่วนผสมของเสตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้โรคสะเก็ดเงินสงบได้ในระยะแรกๆ ที่ได้รับยา แต่นานวันอาจส่งผลข้างเคียงสูง เช่นทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร โรคเบาหวาน กล้ามเนื้อลีบอ่อนแรง ความดันสูง กระดูกผุ
  • ยาบางชนิด เมื่อทานแล้วอาจทำให้สะเก็ดเงินกำเริบ หรือ ทำให้รักษาได้ยากขึ้น เช่น ยารักษาโรคหัวใจ, ความดัน, ยาแก้อักเสบบางชนิด รวมถึง ยารักษาโรคซึมเศร้าบางตัว
  • ไม่ควรแกะ,เกา เพราะโรคสะเก็ดเงินนี้ ถ้าผิวหนังที่ไม่มีผื่นอยู่ก่อน โดนรบกวน หรือเกิดการอักเสบ อาจทำให้เกิดผื่นสะเก็ดเงินขึ้นได้
  • พยายามลดความเครียด
  • นอนหลับให้เพียงพอ ไม่ควรนอนดึก
  • ระมัดระวังไม่ให้ท้องผูก 
  • สังเกตุและระมัดระวังอาหาร ที่เคยทำให้เกิดผื่นมากขึ้น
  • รักษาน้ำหนัก, ควรทานอาหารที่ให้พลังงานหรือแคลอรี่ต่ำ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจำนวนมาก มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก ทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ เช่น ความดันหรือไขมันในโลหินสูง, เบาหวาน, โรคหัวใจ รวมถึง โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • ไม่ควรแกะสะเก็ดที่ขึ้นบนหนังศรีษะ เพราะอาจเป็นสาเหตุ ให้ผมร่วงมากขึ้น

อาหาร และแสงแดด มีผลต่อผู้ป่วยโรคสะเก็ดอย่างไร

  • ปลา, น้ำมันปลา มีงานวิจัยเรื่องการกินปลาหรือน้ำมันปลา กับโรคสะเก็ดเงินเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่บอกว่าทำให้หาย แต่พบว่าการกินปลาให้ประโยชน์ในทางรักษา

  • ผัก-ผลไม้มีสี เช่น ฝักทอง, มะเขือเทศ, แครอท, มะละกอ หรือฝักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง, คะน้า ฯลฯ ซึ่งเป็นแหล่งของสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเชื่อว่าให้ผลดีกับการรักษาสะเก็ดเงิน

  • สะเก็ดเงินเป็นโรคหนึ่งที่เมื่อได้รับแสงแดด ผื่นมักมีอาการดีขึ้นมาก จึงมักพบผื่นสะเก็ดเงินซ่อนอยู่ในร่มผ้า แต่ร่างกายส่วนที่ถูกแสงแดดประจำ มักไม่ค่อยมีผื่นแสดงให้เห็น

การรักษาโรคสะเก็ดเงินในปัจจุบัน

  1. หากผื่นไม่มาก การใช้ยาทา เป็นวิธีที่ปลอดภัยและ ค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่ถ้าผื่นเป็นที่หลังหรือหนังศรีษะ การใช้ยาทา จึงอาจไม่สะดวกนัก

  2. อาจใช้การฉายรังสียูวี ต้องเข้าใจก่อนว่ารังสียูวีไม่ใช่รังสีที่รักษาโรคมะเร็ง แต่เป็นแสงแดดเทียม ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาการเดินทาง

  3. การรับประทานยา เช่น เมทโธเทร็กเสท (Metho-trexate) หรือ กลุ่มวิตามินเอ

  4. การฉีดยา ซึ่งให้ผลดีกับข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthrittis) แต่ค่อนข้างมีราคาแพง อาจมีค่าใช้จ่ายเกือบล้านต่อปีทีเดียว
อย่างไรก็ตามแม้ในปัจจุบันมียารักษา แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุด ที่สามารถรักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดได้ ผื่นอาจจะสงบได้ระยะหนึ่ง และอาจกลับมาเป็นใหม่ ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรได้รับการดูแล จากแพทย์โรคผิวหนัง และหากมีอาการข้ออักเสบ ก็ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคข้อ ควบคู่กันไป

credit: นพ.ประวิตร อัศวานนท์
บทความโรคสะเก็ดเงินจากหนังสือที่ระลึกในวาระครบรอบ 36 ปี สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
http://www.si.mahidol.ac.th
http://www.siamhealth.net
Continue reading...

1/31/2556

Oilve Oil น้ำมันมะกอกดีอย่างไร


น้ำมันมะกอก Olive oilเป็นไขมันที่ได้มาจากมะกอก ซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมของลุ่มน้ำเมดิเตอร์เรเนียน และน้ำมันที่ได้มาจากการผลิต ด้วยวิธีการบดมะกอก และสกัดน้ำมันโดยใช้เครื่องกลหรือสารเคมี


น้ำมันมะกอกมักนิยมใช้ปรุงอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำมันมะกอกช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดเลวให้อยู่ในระดับต่ำ และส่งผลดีต่อหัวใจ

และยังมีผลจากการศึกษาเรื่องน้ำมันมะกอกที่ฟิลาเดลเฟีย ได้บ่งชี้ว่าสารประกอบในน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธ์ยังออกฤทธิ์คล้าย ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่เสตียรอยด์
เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน แต่ไม่ส่งผลข้างเคียงเหมือนแอสไพรินที่กัดกระเพาะอาหาร แต่การจะบริโภคน้ำมันมะกอกเพื่อแก้อาการปวดหัว คุณอาจต้องดื่มมากถึง 500 มิลลิลิตร

เพราะปัจจุบันเชื่อกันว่าการอักเสบมีอิทธิพลต่อโรคหลอดเลือดต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด และ โรคหลงลืมในผู้สูงอายุ ซึ่งนั่นเป็นการอธิบายว่า อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกจะช่วยป้องกันโรคเหล่านี้ได้
Olive

ในขณะที่น้ำมันมะกอกมีข้อดีอยู่มากมาย แต่การเลือกใช้ก็นับว่าสำคัญมากเช่นกัน น้ำมันมะกอกที่จำหน่ายตามซุปเปอรมาร์เก็ต จะพบว่ามีอยู่หลายชนิด
ความแตกต่างการเลือกใช้น้ำมันมะกอกก็ขึ้นอยู่กับว่านำไปปรุงอาหารประเภทไหน
  • น้ำมันมะกอกแบบ Extra Light เหมาะกับอาหารที่ต้องใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด
  • Pure Olive Oil เหมาะกับการผัดหรือการปรุงอาหารที่ใช้เวลาไม่นาน
  • Extra Virgin Olive Oil หรือถ้ามีระบุว่า First Cold Press (บีบเย็น) เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมของน้ำสลัด หรือทานกับผักสดโดยไม่ผ่านการปรุงด้วยความร้อน และน้ำมันมะกอกที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบ Cold Press เป็นน้ำมันมะกอกที่มีกลิ่นหอม แต่ห้ามไปถูกความร้อนเด็ดขาด

นอกจากการใช้ในการปรุงอาหาร น้ำมันมะกอกยังถูกนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง, ยา และสบู่ รวมถึงเป็นเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันโคมไฟแบบดั้งเดิม
salad and chips

เครดิต :
วิกิพีเดีย
สรรสาระ reader's digest
Continue reading...

1/14/2556

เป็นตะคริวแล้วควรทำอย่างไร


ตะคริว เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อและไม่สามารถควบคุมให้คลายตัวได้และตะคริวมีโอกาสเกิดได้จากหลายสาเหตุ
  • ร่ายกายขาดน้ำและเกลือแร่มากๆ ซึ่งนอกจากทำให้มีโอกาสเป็นตะคริวแล้ว ยังส่งผลเสียอื่นต่อร่างกายอีก คือ ทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารและผิวพรรณไม่สดใส

  • การทำงานมากๆ จนเมื่อยล้า หรือ นั่งอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน ๆ เพราะเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงแขนขาได้สะดวก

  • และสาเหตุอีกอย่างหนึ่งคือ ความเครียดของเรานั่นเอง การตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างสม่ำเสมอ

  • คนที่ร่างกายอ่อนแอหรือขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ

  • ยาบางประเภททีส่งผลข้างเคียงต่อการเป็นตะคริว เช่น กลุ่ม diuretics (ยาเม็ดน้ำ) nifedipine, cimetidine, salbutamol, ยากลุ่ม statin, terbutaline, ลิเธียม clofibrate, penicillamine, phenothiazines และกรด nicotinic

  • ระดับเกลือแร่โซเดียม หรือโพแทสเซียม ในกระแสเลือดสูงหรือต่ำเกินไป
  • คนไข้ที่ได้รับการฟอกไตบางราย

  • หญิงตั้งครรภ์
  • คนไข้โรคกับต่อมไทรอยด์ underactive
  • ผู้ที่ติดสุราเพราะในร่างกายมีระดับแอลกอฮอล์สูงเกินไป
  • ความผิดปกติของเส้นประสาท
  • และยังพบในผู้ป่วยอื่นๆ เช่น โรคตับแข็ง, โรคหลอดเลือด หรือผู้ที่ได้รับสารพิษตะกั่ว,
อาหารเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับร่างกายคนเรา

โดยปกติแล้ว ตะคริว มักเกิดขึ้นในเวลาที่พักผ่อนนอนหลับในช่วงกลางคืน ระยะเวลาอาจแค่เสี้ยววินาที หรือ ประมาณ 2-5 นาที ซึ่งถ้าใครที่เป็นบ่อยก็จะพบว่า ตะคริว จะคอยรบการพักผ่อนอยู่บ่อยๆ และพบการเป็นตะคริวในคนสูงอายุมากกว่า

ซึ่งเมือเป็นตะคริวแล้วอาการปวดอาจต่อเนื่องไปทั้งวันก็เป็นได้และวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดคือ การดันหรือยืดให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งคลายตัวออกช้าๆ อย่างสม่ำเสมอ
ความเครียดคือสาเหตุข้อหนึ่งทำให้เป็นตะคริว

เช่น ถ้าเป็นตะคริวที่น่องขณะที่นอนอยู่ ใช้มือนวดกล้ามเนื้อน่องบริเวณที่เป็นตะคริว โดยนวดลงไปทางข้อเท้าหลายๆครั้งเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง

ถ้านั่งเก้าอี้อยู่ให้ใช้วิธีดันปลายเท้ากระดกขึ้นช้าๆ หรือลงมายืนตรง เมื่อกล้ามเนื้อน่องยืดตะคริวจะคลายตัวอาการเจ็บจะน้อยลง

หรืออาจยืนหันหน้าเข้าหากำแพงโดยเท้าสองข้างห่างออกจากกำแพง 2-3 ฟุต โน้มตัวลงใช้มือจับกำแพงไว้ทำเหมือนจะวิดพื้น ท่านี้จะเป็นการยืดกล้ามเนื้อน่องได้เช่นกัน

สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ กระตุกหรือ กระชากอย่างรุนแรงรวดเร็ว เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดได้

อาการของตะคริวแม้ไม่ส่งผลถึงชีวิต แต่ก็นับว่าอันตรายมากหากเป็นตะคริวในช่วงที่ไม่เหมาะสม เช่น ขณะขับรถ, ว่ายน้ำ ฯลฯ หรือกิจกรรมที่หยุดในทันที่ไม่ได้



credit:
พบหมอศิริราช: โดย อ.น.พ. ยงชัย นิละนนท์
www.patient.co.uk
Continue reading...

12/30/2555

จะเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างไร


การเลือกซื้อเครื่องสำอาง


เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องสำอาง
ตามที่องค์การอาหารยาให้คำแนะนำไว้มีดังนี้

  1. อย่าซื้อตามคนอื่น หรือเพราะคำแนะนำ ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับผิวตนเอง หากได้ทดสอบก่อนใช้ก็ดี ซึ่งอาจเป็นสินค้าตัวอย่าง ให้ทดลองทาที่ท้องแขนหรือหลังใบหู เช้า-เย็น โดยไม่ต้องเช็ดออก ประมาณ 5-7 วัน ถ้าไม่มีอาการแดง คัน หรือผื่นแพ้ ก็สามารถลองใช้กับใบหน้าได้

  2. ให้ความใส่ใจกับแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางที่ไม่ทราบแห่งผลิตที่ชัดเจน เพราะอาจได้เครื่องสำอางปลอมที่ไม่ได้มาตรฐาน

  3. การซื้อแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องซื้อขนาดใหญ่หรือปริมาณมาก เนื่องจากบางครั้งอาจเป็นการฝากซื้อจากต่างประเทศซึ่งราคาถูกกว่าการซื้อที่เมืองไทย การซื้อปริมาณมากๆ อาจทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพถ้าเก็บดูแลไม่ดีพอ หรือถ้าเครื่องสำอางมีขนาดใหญ่มากเมื่อเปิดใช้นานไป อาจมีเชื้อโรคปนระหว่างการใช้

  4. ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางเก่า มีสี กลิ่น หรือ ความข้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

  5. ให้สังเกต ภาชนะที่บรรจุเครื่องสำอางต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด หรือ แตก เพราะอาจมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนได้

  6. ป้ายฉลากเครื่องสำอาง ควรอยู่ในสภาพเรียบร้อยไม่ฉีกขาด มีข้อความและรายละเอียดชัดเจน เช่น ชื่อ ชนิดเครื่องสำอาง ชื่อที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ครั้งที่ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และวันที่หมดอายุ ปริมาณสุทธิ วิธีใช้ และคำเตือนในการใช้

  7. ถ้าสงสัยว่าเครื่องสำอางที่สนใจนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซต์ ขององค์การอาหารและยา www.oryor.com หรือ เวปไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนัง www.dst.or.th

Credit:
หนังสือที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย ผศ. พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/14/2555

แพ้เครื่องสำอางหรือไม่ รู้ได้อย่างไร


ในยุคที่ความสวยยอมกันไม่ได้ คงแทบไม่มีใครเลยที่ไม่เคยใช้เครื่องสำอาง แต่ต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า เครื่องสำอาง ก็คือ วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ ทา,ถู,นวด,พ่น,หยอด,ใส่,อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งต่อร่างกายเพื่อความสะอาด, ความสวยงาม หรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม เพราะงั้น ไม่ว่าจะไนท์ครีม, บอดี้โลชั่น, ลิปบาล์ม ก็รวมเป็นเครื่องสำอางทั้งนั้น ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือสวยขึ้น หล่อขึ้น และ ดูดีขึ้น


เมื่อเครื่องสำอางอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจำหน่ายมีมากมายเยอะแยะ ซึ่งก่อนใช้นั้นน่ะเราจะจินตนาการไว้เริ่ดหรู ตามคำพีอาร์ของแต่ละแบรนด์

มีหลายคนก็บอกว่าก่อนซื้อให้ทดลองทาผิวที่ท้องแขนทิ้งไว้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการแพ้เครื่องสำอางจะยังไม่เกิดทันทีที่เริ่มใช้ แต่มักจะค่อยๆ เป็น จนไม่ทันสังเกตว่าจะแพ้ เพราะกว่าจะเป็นเครื่องสำอางแล้วมาขายมีขั้นตอนทดสอบหรือทดลองใช้กันมาบ้างแล้ว

อาการที่สงสัยได้เลยว่าอาจแพ้เครื่องสำอางเข้าแล้ว

natural-looking makeup
  • อาการปวดแสบ ปวดร้อน มีอาการคันหรือรู้สึกว่าคันยิบๆ
  • มีผื่นแดงคัน ถ้าหากแพ้มาก อาจเป็นตุ่มแดง, ตุ่มน้ำ, ผิวเป็นขุย
  • มีผื่นแดงบวม แบบลมพิษ
  • มีผื่นดำ ผิวหมองคล้ำ
  • หน้าเริ่มเป็นรอยด่าง
  • มีเม็ดผดเล็กๆ ไม่คัน ลักษณะคล้ายสิวเม็ดเล็ก
เมื่อไรก็ตามที่คุณมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที หากมีอาการดีขึ้น ก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้

ประเภทของเครื่องสำอางที่มักทำให้เกิดผลข้างเคียง

  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงข้างเคียงสูง
    1. น้ำยายืดผม
    2. ครีมที่ทำให้ผิวขาว
    3. ครีมรักษาฝ้า
    4. น้ำยาหรือครีมขจัดขน
  • กลุ่มที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง
    1. น้ำยาดัดผม, น้ำยาย้อมผม, ครีมบำรุงผม
    2. มาสก์หน้า, ครีมแก้สิว
    3. ลิปสติก, ครีมรองพื้น, ครีมกันแดด
    4. ยาระงับกลิ่นเหงื่อ หรือยาลดเหงื่อ
    5. น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น
ส่วนหนึ่งก็คือเครื่องสำอางเหล่านี้ มีสารที่เป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย เช่น  ใส่สารเคมีกันบูดเช่น พาราเบน, ฟอร์มัลดีไฮต์, สารพาราเฟนนีลีนไดเอมีน ที่ใส่ในยาย้อมผม, สารลาโนลินหรือไขแกะที่เป็นตัวทำเนื้อครีมหรือโลชั่น, ใส่น้ำหอมเพื่อให้เครื่องสำอางมีกลิ่นหอมน่าใช้ และช่วยกลบกลิ่นสารกันบูดที่ใส่ในเครื่องสำอาง



credit:
ที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบ 36 ปี
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
โดย พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์
Continue reading...

12/04/2555

สารอาหารรักษาสิว


สิวเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะเกิดการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่อมไขมัน โดยจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง หากอักเสบเพิ่มขึ้น จะกลายเป็นหัวหนอง และสิวหัวช้างในที่สุด เรื่องสิวไม่ใช่เรื่องจิ๋วจิ๋ว


การอักเสบของสิวจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง เช่น ช่วงมีประจำเดือน, การอดนอน, ภาวะเครียด

ดังนั้นการป้องกันการเกิดสิวที่ดีที่สุดคือเราต้องปรับสภาพร่างกายให้สมดุล
ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
รับประทานผักผลไม้ให้มาก
อาหารที่ดีจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย,
ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว, ระวังไม่ให้เกิดการท้องผูก,
ออกกำลังเพื่อให้ร่างกายแข็งและมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค, ลดความเครียดด้วยการเล่นดนตรี, ฟังเพลง หรือ ฝึกสมาธิเพื่อฝึกควบคุมจิตใจ, หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี, ดื่่มสุรา หรือสารเสพติด

สารอาหารรักษาสิว

  1. อาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสี ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส, ลดการอักเสบ และการติดเชื้อของสิว ทั้งยังช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น โดยการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่ และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไป

    จริงอยู่ว่าสังกะสีให้ผลบวกในการลดสิว แต่หากร่างกายรับสังกะสีในปริมาณที่มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อวัน(ในผู้ใหญ่) ก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้เช่นกัน อาหารที่มีธาตุสังกะสี คือ หอยนางรม, ปู, นม, โยเกิร์ต, ถั่ว, ชีส, ปลา, เมล็ดฟักทองและเมล็ดทานตะวัน

  2. Milk and Cheese
  3. แร่ธาตุอย่าง วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินอี และ สารเบต้าแคโรทีนในผักผลไม้ แร่ธาตุในผักผลไม้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและบรรเทาอาการเป็นสิวได้เป็นอย่างดี และคลอโรฟิลล์ในผักสีเขียวก็ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งกากใยอาหารจากพืชผักสีเขียว(Dietrary Fiber)ก็ช่วยป้องกันเรื่องท้องผูกได้อีกต่างหาก

    • วิตามินเอลดการอักเสบของสิวและลบรอยด่างดำจากสิว วิตามินเอมีมากใน ตำลึง, บร็อคโคลี, ยอดชะอม, คะน้า กะหล่ำเขียว, ผักโขม, ผลไม้สีเหลืองหรือสีส้ม เช่น ฟักทอง, มะม่วง, แคนตาลูป, มะละกอสุก และใน ตับ และนม

    • Fruits
    • วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจึงช่วยลดริ้วรอย และลดรอยด่างดำจากสิว วิตามินซีมีมากในผลไม้ เช่น ส้ม, มะเขือป้อม, สัปปะรด, ฝรั่ง, สตอร์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่, กีวี, มะละกอ, มะม่วง, องุ่น, ลูกพลัมลูกพรุน หรือ ผักใบเขียว เช่น คะน้า, พริกแดง, พริกเขียว, ผักตระกูลกะหล่ำ, บร็อคโคลี, มะเขือเทศ, ผักโขมฯลฯ

    • วิตามินอีมีคุณสมบัติในการลบริ้วรอยจากสิว เราได้วิตามินอีจากน้ำมันที่ได้จากธัญพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย และถั่วเปลือกแข็ง อย่าง อัลมอนต์ หรือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์


  4. แร่ธาตุโครเมียม จะกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน เพื่อช่วยรักษาปริมาณน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ ร่างกายต้องการโครเมียมในปริมาณที่น้อยมากคือ 50 – 200 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องหาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

    โครเมียมจะถูกดูดซึมได้ดีเมื่อทานร่วมกับอาหารที่มีวิตามินซี แต่ปริมาณที่สูงเกินไปของโครเมียมอาจจะไปรบกวนการดูดซึม สังกะสี (Zinc)เช่นกัน พบได้ใน ยีสต์ (Brewer’s yeast) เมล็ดธัญพืช และ ซีเรียล

  5. Bread and Egg
  6. ซีลีเนียมสามารถป้องกันกัมมันตภาพรังสีรวมทั้งโลหะหนักที่เป็นพิษ เช่น ปรอท เงิน แคดเมียม แทลเลียม (thallium) ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายและขับถ่ายออกได้เร็วขึ้น และเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ยังช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อต่างๆและชลอการเสื่อมของเซลล์ หรือคุณสมบัติที่ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ ลดการเกิดสิว

    อาหารที่มีซีลิเนียมมากที่สุดได้แก่ ไข่, เครื่องในสัตว์และเนื้อสัตว์, ปลา,หอย และข้าวที่ไม่ขัดสี, ซีเรียล และผลิตภัณฑ์นม นอกจากนี้ยังได้จากระเทียม เห็ด บร็อคโคลี หัวหอม มะเขือเทศ

  7. กรดไขมันโอเมก้า 3กรดไขมันที่ช่วยเรื่องหัวใจและการทำงานของสมอง, ลดการอักเสบในระดับเซลล์ และช่วยในการผลัดเซลล์ผิว จึงช่วยลดรอยด่างดำจากสิวให้จางลง มีมากในอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอล, ปลาทูน่า, นอกจากนี้ก็มีในน้ำมันวอลนัท,น้ำมันคาโนลา

    แต่เพราะ Omega3 จะสลายตัวได้ง่ายในอุณหภูมิสูง เช่น การน้ำอาหารไปทอด ถ้าหากต้องการให้สารอาหารยังคงอยู่ในอาหาร ควรปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม แกงหรือ ยำ
Continue reading...
 

To live healthy Copyright © 2009 Cosmetic Girl Designed by Ipietoon | In Collaboration with FIFA
Girl Illustration Copyrighted to Dapino Colada